วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

หญิงกับชาย...ใครร้ายกว่ากัน

คนที่กำลังโกรธมักจะตาขวาง พูดหยาบคาย เสียงดัง กำหมัด กัดฟัน หรือตัวสั่น ผู้ชายที่มีหนวดยาวสักหน่อย อาจโกรธจนหนวดกระดิก คนผิวขาวแบบฝรั่งหรือชาวญี่ปุ่น อาจโกรธจนหน้าแดง เรียกว่า เลือดขึ้นหน้า ส่วนคนผิวดำเวลาโกรธเลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน แต่สีหน้าจะแดงไม่ชัด หากเห็นคนผิวคล้ำกำลังโกรธ อย่าไปจ้องมองว่าหน้าเขาเป็นสีอะไร เพราะอาจโดนเจ้าของใบหน้ายกหมัดทิ่มตาขี้สงสัยจนบวม หมดโอกาสดูสีหน้าใครๆ ไปอีกหลายวัน ความโกรธ ความก้าวร้าวหรือโทสะ จัดเป็นหนึ่งในสามของกิเลสตัวร้ายทางพุทธศาสนา เป็นยาพิษขนานเอกที่คอยกัดกร่อนจิตใจให้เป็นทุกข์อย่างไม่รู้จบสิ้น นอกจากจะทำให้ตนเองไม่มีความสุขแล้ว ยังพลอยทำให้คนแวดล้อมอยู่อย่างไม่สงบไปด้วย ความก้าวร้าวเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนป่วยทางจิตใจ และพบได้บ่อยพอๆ กับการแสดงความรัก ความห่วงใยต่อกัน ความก้าวร้าวอย่างรุนแรง เช่น ฆาตกรรม การข่มขืน การประท้วงอย่างไม่สงบ การทำทารุณกรรมกับเด็กหรือผัวเมียตีกัน เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ ความเจริญทางวัตถุทำให้เรามีความเป็นอยู่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันความแออัดบวกกับการแข่งขันกันเพื่อปากท้อง ซึ่งติดตามความเจริญมาด้วย ก่อให้เกิดความเครียด อันเป็นสาเหตุประการหนึ่งของความก้าวร้าว นอกจากความเครียด ความหนาแน่นของประชากร และความแออัดของฝูงชนแล้ว ยังมีสาเหตุอีกหลายประการ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวขึ้น ได้แก่สถานการณ์บางอย่าง เช่น พบคนที่เกลียด ถูกทำให้เจ็บปวด การแข่งขัน หรือถูกแย่งตำแหน่ง การเสียหน้า ถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรม เห็นผู้อื่นกระทำสิ่งที่ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ ทำเพื่อปกป้อง การแย่งชิงเพศตรงข้าม หรือต้องการแสดงความเหนือว่า คนส่วนหนึ่งโดยเฉพาะผู้ใหญ่จะแสดงความก้าวร้าว กับคนในครอบครัวมากกว่าคนที่ไม่คุ้นเคย ส่วนวัยรุ่นจะก้าวร้าวกับคนแปลกหน้าค่อนข้างมาก อาจเป็นเพราะวัยรุ่นยังมีประสบการณ์น้อย จึงก้าวร้าวกับคนอื่นโดยไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ว่าการแสดงความก้าวร้าว เป็นพฤติกรรมที่สังคมไม่ต้องการ จึงพยายามควบคุมเอาไว้ และสามารถทำได้กับคนแปลกหน้า แต่เมื่ออยู่กับคนในครอบครัว กลับไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ คนที่โตมากับครอบครัวซึ่งมักแสดงความก้าวร้าวต่อกัน มีแนวโน้มเป็นคนก้าวร้าว อธิบายว่า เป็นผลจากกรรมพันธุ์พฤติกรรมเลียนแบบ และการเลี้ยงดูโดยมีการส่งเสริมพฤติกรรมก้าวร้าว อาจจะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้พฤติกรรมนั้นเกิดซ้ำๆ เช่น ผู้ใหญ่คอยส่งเสียงเชียร์เด็กที่ถือไม้ไล่ตีแมว เมื่อเด็กตีถูกผู้ใหญ่ก็ส่งเสียงเฮ! ลั่น ตบไม้ตบมือชอบใจและชมเด็กว่าเก่ง เด็กจะเรียนรู้อย่างผิดๆ ว่า สิ่งที่ตนเองกำลังทำเป็นสิ่งดี เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ และจะทำซ้ำอีกเมื่อมีโอกาส นอกจากนั้นลักษณะครอบครัวที่ไม่ปรองดองกัน ครอบครัวแตกแยกโดยพ่อแม่แยกทางกันหรือหย่าร้าง มีการเสียชีวิตย้ายที่อยู่บ่อยมาก มีการทำทารุณกรรมเด็ก หรือผู้ปกครองติดสุราก็ทำให้เด็กมีแนวโน้มก้าวร้าวได้เมื่อโตขึ้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวชักนำให้เกิดความก้าวร้าว ได้อย่างร้ายกาจ พบว่าผู้ก่อคดีต่างๆ มากกว่าครึ่งหนึ่ง ได้ดื่มสุราเข้าไปก่อนก่ออาชญากรรมทั้งสิ้น ความจริงแล้วการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณน้อยๆ ทำให้เกิดความรู้สึกครึ้มหรืออารมณ์ดีได้ น่าเสียดายที่คนจำนวนมากมิได้หยุดดื่มเพียงแค่นั้น แต่กลับดื่มมากจนกระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวขึ้น ทั้งนี้เพราะแอลกอฮอล์จะลดความยับยั้งชั่งใจ ทำให้การควบคุมอารมณ์ไม่ดีพอ การตัดสินใจเรื่องต่างๆ จึงเสียไป สารเสพติดและยาบางชนิดก็ทำให้เกิดความก้าวร้าวได้ โดยกลไกที่คล้ายๆ กัน ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นสาเหตุของความก้าวร้าวได้เช่นกัน ตัวอย่างที่ได้ยินบ่อยๆ ได้แก่ ความโมโหหิวในนิยายพื้นบ้านเรื่อง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ความเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น โรคลมชัก ปัญญาอ่อน โรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน (AFFECTIVE DISORDERS) และอีกหลายโรคเป็นต้นแหตุของความก้าวร้าวได้ในบางช่วงของอาการ นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมบางอย่างสามารถกระตุ้น ให้เกิดความก้าวร้าวขึ้นได้ เช่น ความร้อน การมีอาวุธอยู่ใกล้หรือในมือ โดยเฉพาะปืน ตัวอย่างเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" เป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดี สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับความก้าวร้าว และนำไปสู่ชื่อเรื่อง "หญิงกับชาย...ใครร้ายกว่ากัน" ได้แก่เพศที่แตกต่างกัน เด็กผู้ชายมักก้าวร้าวมากกว่าเด็กผู้หญิง เห็นได้ว่าเด็กผู้ชายจะเล่นรุนแรงมีลักษณะในทางทำลายของ วิ่งและกระโดดมากกว่าเด็กผู้หญิง เพศที่ต่างกันอาจเป็นตัวกำหนดการเกิดความก้าวร้าว แต่ในขณะเดียวกันความคาดหวังจากสังคมว่า เพศหญิงจะต้องนุ่มนวลและเรียบร้อยกว่า ก็มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเด็กไม่น้อย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ลักษณะก้าวร้าวในเพศชายที่มากกว่าจะปรากฏชัดขึ้น โดยดูจากสถิติอาชญากรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ด้วยน้ำมือของผู้ชาย แต่เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อพบว่า หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับภายในครอบครัวแล้ว สถิติของคดีสามีทำร้ายภรรยาหรือภรรยาทำร้ายสามีมีมากพอๆ กันแสดงว่าหากเป็นเรื่องนอกบ้านเพศหญิงไม่อยากยุ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องในบ้านแล้วละก็เห็นจะยอมกันยากสักหน่อย มีการสงสัยว่าฮอร์โมนเพศชายจะเป็นตัวก่อให้เกิดความก้าวร้าว ในประเทศแถบสแกนดิเนเวียเมื่อประมาณ 60-70 ปีก่อน เคยมีการลงโทษโดยการตอนผู้ชายที่ก่อคดีรุนแรง โดยเฉพาะคดีทางเพศ พบว่าวิธีนี้สามารถลดความก้าวร้าวได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเคยมีการทดลองให้ฮอร์โมนเพศหญิงกับผู้ชายที่ก่อคดีก้าวร้าว พบว่าสามารถลดความก้าวร้าวลงได้มากเช่นกัน แสดงว่าฮอร์โมนเพศชายเกี่ยวข้องกับความก้าวร้าวจริงๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าบางช่วงเวลาเพศหญิงก็ก้าวร้าวไม่น้อยเหมือนกัน เช่น ในช่วงวันก่อนมีรอบเดือน ผู้หญิงจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิด และมีโอกาสก้าวร้าวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงอื่นๆ อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย มีอาการไม่สบายเนื้อสบายตัวบางอย่างบวกกับความรู้สึกรำคาญ จึงเป็นเหตุให้จิตใจถูกระทบกระทั่งได้ง่าย มีรายงานทางวิชาการเมื่อสิบกว่าปีก่อน แสดงถึงสถิติอาชญากรรมในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก โดยผู้รายงานเป็นฝรั่งและชาวญี่ปุ่น ได้ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะมีความก้าวร้าวในสังคมต่ำมาก และเสนอเหตุผลว่า
ประการแรก ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเป็นชนชาติเดียวกัน เป็นส่วนใหญ่ ประเทศอื่นๆ ส่วนมากมีประชากรหลายชนชาติหลายเผ่า ทำให้ภาษา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกันไป ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจความขัดแย้ง และความก้าวร้าวตามมาได้โดยง่าย
ประการที่สอง ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีภัยธรรมชาติมาก เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และพายุจากทะเล ทำให้ประประชาชนต้องร่วมมือกันเพื่อต่อสู้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดความรักความสามัคคีต่อกันมาก
ประการที่สาม โดยเฉลี่ยญี่ปุ่นมีการจัดระเบียบ ภายในหน่วยงานหรือบริษัทต่างๆ ดีมากทำให้เกิดความขัดแย้งกันน้อย
และประการสุดท้าย การเลี้ยงดูบุตรของชาวญี่ปุ่น จากยุคโบราณมีลักษณะพิเศษ เด็กจะได้รับความอบอุ่น เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดมารดามาก โดยมารดาจะเอาลูกผูกโอบไว้ที่หลัง ในเวลาทำงานหรือไปไหนมาไหนเด็กจึงไม่ถูกทอดทิ้งไว้นาน เมื่อหิว และเด็กจะนอนกับพ่อแม่จนกระทั่งโต มีการลงโทษ และตำหนิน้อยมาก แต่จะใช้วิธีล่อใจด้วยของเล่นหรือขนมหวาน ทำให้เด็กกระดากอายกับพฤติกรรมไม่ดีของตัวเอง เมื่อเด็กโตขึ้นจะควบคุมความก้าวร้าวได้ดีเพราะกลัวทำให้ครอบครัว และพ่อแม่ขายหน้า อย่างไรก็ตามรายงานเรื่องนี้ผ่านมาแล้วสิบกว่าปี เชื่อว่าในปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นคงเปลี่ยนไปไม่น้อย โอกาสที่เด็กญี่ปุ่นจะได้เติบโตบนหลังของมารดาอย่างเมื่อก่อนคงมีไม่มาก ถึงแม้ว่ารายงานนี้จะไม่ใหม่นักแต่ก็มีหลายๆ จุดที่น่าสนใจเช่น การที่เด็กได้รับความอบอุ่นมากเป็นปัจจัยหนึ่ง ซึ่งทำให้เด็กโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความก้าวร้าวน้อย การให้รางวัลโดยใช้ของเล่นหรือขนมล่อใจเพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ดี จะได้ผลดีกว่าการลงโทษกับพฤติกรรมที่ไม่ดี ประการสุดท้าย คือ ความเป็นชนชาติเดียวกันภายในประเทศ เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งช่วยป้องกันการเกิดความขัดแย้งและความก้าวร้าว ทำให้ย้อนกลับมามองประเทศของเราเองซึ่งมีหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา หรือแม้แต่ผู้ที่ถือเชื้อชาติไทย ศาสนาพุทธซึ่งเป็นคนส่วนมาก ก็ยังมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน ยกตัวอย่างภาษาที่ต่างกันของชาวเหนือ ชาวอีสานและคนภาคกลาง เพราะฉะนั้นการจะเปลี่ยนให้คนทั้งชาติ กลายเป็นชนชาติเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ต้องแก้ด้วยการช่วยกันสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นว่า เป็นคนไทยด้วยกันใต้ผืนธงเดียวกันซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน การลดความก้าวร้าวทางอื่น ต้องดูจากสาเหตุหลายประการ ที่ได้กล่าวถึงมาตั้งแต่ต้น สาเหตุบางประการเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น เราแก้ไขสาเหตุทางพันธุกรรมไม่ได้ และเราบังคับให้ฮอร์โมนเพศหญิงกับผู้ชายเพื่อหวังให้ผู้ชาย ลดความก้าวร้าวลงไม่ได้ ด้วยว่าจะมีแต่ผู้ชายตุ้งติ๋งเต็มไปหมด จึงเหลือปัจจัยที่พอจะแก้ไขได้คือ ลดการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง และช่วยกันเปลี่ยนค่านิยมของการดื่มแอลกอฮอล์เสีย สร้างความรัก ความปองดองภายในครอบครัวให้มีมากขึ้น โดยผู้ปกครองจะต้องมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน และมีความรู้เกี่ยวกับสุขภาพจิตของครอบครัวให้ดีพอ หนทางสุดท้ายในการลดความก้าวร้าวคือ สามารปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา เช่น พรหมวิหารสี่ของพุทธศาสนา ที่ว่าด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือคำสอนของชาวคริสต์ว่า จงรักศัตรูของท่านหากถูกตบแก้มขวา จงเอียงแก้มซ้ายให้เขาตบอีก
แล้วเราคงได้เห็นรอยยิ้มกว้างให้แก่กันมากๆ มาทดแทนภาพคนที่กำลังตาขวาง กำหมัด กัดฟัน หรือเม้มปากจนหนวดกระดิก

เสน่ห์

เสน่ห์ทางกาย
เป็นเสน่ห์ที่เน้นพลังฝ่ายดึงดูดมากกว่าอย่างอื่น เช่นเห็นแล้วดึงดูดให้อยากมองนานๆ ยากจะถอนสายตา หรือกระทั่งอยากถลาเข้าไปลองสัมผัสให้ได้เดี๋ยวนั้น
เสน่ห์ทางกายปรากฏเด่นเห็นง่ายสุด จับต้องได้ง่ายสุด เพราะกายมนุษย์เปล่งประกายเสน่ห์ได้ผ่านความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐาน ตลอดจนความผ่องใสมีสง่าราศีแห่งผิวพรรณ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหรือพิธีรีตองใดๆ ในการเปล่งประกายเสน่ห์ชนิดนี้ แค่ปรากฏตัวก็ใช้ได้แล้ว
ความเปล่งปลั่งชนิดบาดตาได้ตั้งแต่แรกพบนั้น เป็นผลอันเกิดจากการให้ทานที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ไม่มีความขัดข้องทางใจเท่ายองใย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโอกาสถวายทานแด่พระพุทธเจ้าหรืออริยะสงฆ์สาวก แล้วรักษาความเลื่อมใสนั้นไว้ได้ตลอดชีวิต ก็จะมีความรุ่งเรืองปรากฏชัดทางผิวหนังตั้งแต่ในชาติแห่งทานนั้น แล้วปรากฏชัดเจนในชาติถัดมา ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์
ความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐานจะเกิดจากความมีศีลสะอาดเป็นหลัก รายละเอียดและมิติของรูปร่างหน้าตาที่ล่อตาชวนตะลึง กลิ่นกายที่น่าพิสมัย ตลอดจนความละเอียดน่าสัมผัสของผิวหนังที่เหมาะกับเพศนั้น บันดาลขึ้นจากความสามารถในการ “งดเว้น” ความประพฤติทางกายและวาจาอันสกปรกเน่าเหม็นจนเคยชิน กระทั่งแม้ความคิดก็ไม่หลุดออกนอกกรอบของศีล พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้เคยมีศีลอันมั่นคงแข็งแรง จิตสะอาดสะอ้านจากมลทินยิ่ง จึงบันดาลให้เกิดผลงดงามไร้ที่ติ กระทบตาผู้คนแล้วชวนหลงไหลยิ่ง
คนที่ไม่ค่อยทำบุญกับบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ มักมีอำนาจเสน่ห์ทางกายน้อย เนื่องจากโอกาสที่จิตจะเปล่งประกายความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าขณะทำบุญนั้นยากนัก

เสน่ห์ทางวาจา
เป็นเสน่ห์ที่มีพลังฝ่ายประทับมากกว่าอย่างอื่น เช่น ฟังพูดแล้วติดหูไม่รู้ลืม ราวกับพลังเสียงและสำเนียงพูดบุกรุกเข้ามาฝังตัวและกลอกกลิ้งอยู่ในแก้วหูคนฟังได้ พอห่างกันแล้วถวิลถึงราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝด
เสน่ห์ทางวาจาจะแผลงฤทธิ์เต็มที่ต่อเมื่อผู้พูดมีโอกาสฉายไม้เด็ดสักประโยคสองประโยค การโอภาปราศรัยทักทายเพียงคำสองคำอาจจะยังไม่ได้ผลนัก แต่หากได้ช่องสำแดงเดชเต็มกำลัง เสน่ห์ทางวาจาก็อาจชวนให้หวนคิดถึงได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายมาก เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับส่ำเสียงและถ้อยคำจะยืนยาวกว่าความทรงจำเกี่ยวกับรูปลักษณ์
เสน่ห์ทางวาจาที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเห็นภาพง่ายที่สุดคงได้แก่วิธีรบเร้าหรือวิธีตื๊อของแต่ละคน บางคนตื๊อแล้วน่ารัก แต่หลายคนตื๊อแล้วน่ารำคาญ ทั้งที่ก็เป็นการรบกวนผู้ฟังเหมือนๆ กัน นี่ก็เพราะบางคนเท่านั้นที่มีพลังเสน่ห์ทางวาจา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี
เสน่ห์ทางวาจามีองค์ประกอบหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็เกิดจากกรรมเกี่ยวกับวาจาทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมกันทั้งสิ้น องค์ประกอบหลักของเสน่ห์ทางวาจาจำแนกได้เป็น ๓ ส่วนดังนี้
๑) ความไพเราะของแก้วเสียง เกิดขึ้นจากความเป็นผู้มีวาจาสุจริต ทั้งพูดเรื่องจริงเท่าที่ควรพูด เลือกคำที่ฟังรื่นหูไม่หยาบคาย หาวิธีพูดประนีประนอมไม่เสียดสีใคร ตลอดจนครองสติในการพูดเพื่อประโยชน์ได้เสมอ องค์ประกอบหลักเหล่านี้จะปรุงแต่งแก้วเสียงให้ฟังดี ฟังเย็น และฟังมีพลังสะกด ถ้ายิ่งหมั่นสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ ตลอดจนเปล่งเสียงประกาศธรรมอันชอบโดยไม่เคอะเขิน แก้วเสียงก็จะเปล่งประกายสดใสเพราะพริ้งได้ตั้งแต่ชาติปัจจุบัน และไปปรากฏผลชัดที่สุดในชาติถัดมา น้ำเสียงและสำเนียงจะกลมกล่อมไม่บาดหูเลย (เว้นไว้แต่จะหลงผิด พูดจาเป็นอัปมงคลนานปีจนกำลังของวจีทุจริตใหม่ชนะกำลังของวจีสุจริตเก่า)
๒) ลูกเล่นในการจำนรรจา เกิดขึ้นจากความเป็นผู้ใส่ใจเจรจาให้น่าเอ็นดู เป็นที่ถูกใจ ทำความบันเทิงสดใสแก่ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นพวกชอบเล่านิทานให้เด็กฟัง ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้สนุกสนาน ได้ข้อคิด และได้มองโลกในแง่ดีมีความอบอุ่น กรรมอันเกิดจากการฝึกเล่านิทานจริงจังจะบันดาลให้เกิดสัญชาตญาณในการมัดใจด้วยลีลาพูด คือรู้เองว่าด้วยลูกเล่นการออกเสียงสั้นยาว ลงเสียงหนักเบา ตลอดจนควบกล้ำอย่างไรให้ฟังน่ารักน่าใคร่ ชัดถ้อยชัดคำ พวกนี้ถ้าทำงานพากย์จะประสบความสำเร็จง่ายมาก และอาจจะไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหนก็เก่งได้ยิ่งกว่ามืออาชีพที่คร่ำหวอดมานมนาน
๓) ความฉลาดเลือกคำ เกิดขึ้นจากความเป็นผู้คิดก่อนพูด ใช้สติในการง้างปากที่อ้ายาก ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์บงการปากที่ไร้หูรูด ธรรมชาติของสตินั้น ยิ่งฝึกฝนให้เพิ่มมากขึ้นเท่าใด ปัญญาก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น
คนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับการพูดนั้น นอกจากจะขาดเสน่ห์ทางวาจาแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดข้อน่ารังเกียจได้มากมาย เช่นคนพูดส่อเสียดและใส่ไคล้ผู้อื่นบ่อยๆมักมีกลิ่นปากเหม็นเน่า คนติดพูดคำหยาบคายกระโชกโฮกฮากมักมีสำเนียงเสียงไม่รื่นหูไม่ชวนฟัง เป็นต้น

เสน่ห์ทางกระแสจิต
เป็นเสน่ห์ชนิดที่มีพลังชะโลมได้มากกว่าอย่างอื่น เช่น แค่เข้าใกล้รัศมีใครบางคนคุณก็รู้สึกเยือกเย็น หรือกระทั่งเกิดความเงียบสงัดไร้ความคิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม กระแสจิตของบางคนอาจเปี่ยมด้วยอิทธิพลแห่งพลังดึงดูดและพลังประทับได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายกับวาจารวมกันเสียอีก หากคุณเคยมีประสบการณ์ผ่านพบใครบางคน ที่คุณอยู่ใกล้ๆแล้วเกิดความอยากอยู่ใกล้ เมื่อห่างไปก็ถวิลถึง แม้รูปร่างหน้าตาของเขาไม่จัดว่าเลอเลิศ กับทั้งถ้อยทีเจรจาก็งั้นๆ นั่นแหละครับตัวอย่างของคนมีเสน่ห์ทางกระแสจิตขั้นรุนแรง
เสน่ห์แห่งกระแสจิตนั้น เป็นสิ่งเห็นไม่ได้ด้วยตา จับต้องไม่ได้ด้วยมือ ทว่าง่ายที่จะสัมผัสด้วยใจ และแม้คุณพบเจอจังๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าในเมื่อไม่เคยมีใครขอให้คุณอธิบาย คุณเลยไม่เคยฝึกจำแนกแยกแยะว่ากระแสจิตมีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีพลังเสน่ห์จับใจได้แตกต่างกันสักแค่ไหน
จิตมนุษย์ที่กระจายออกมาให้สัมผัสได้นั้น มีกระแสพลังจากแหล่งต่างๆได้หลายหลาก อาทิเช่น พลังความคิด พลังจากมหากุศลที่ประกอบแล้ว พลังความสว่างทางปัญญาที่รู้ชอบในธรรมะ พลังสุขภาพ พลังของหน้าที่ พลังของอิทธิพลต่อหมู่คน พลังของที่อยู่อาศัย พลังของพาหนะส่วนตัว พลังของอัญมณี พลังของสัตว์ที่ผูกพันแน่นเหนียว พลังไสยศาสตร์ ตลอดไปจนกระทั่งพลังของเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกันในทางใดทางหนึ่ง โดยย่นย่อกระแสจิตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีมีตัวตนของแต่ละคน
ผมอาจแจกแจงที่มาที่ไปและชนิดของเสน่ห์ทางกระแสจิตอย่างละเอียดเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้โดยเฉพาะ แต่ในที่จำกัดนี้คงกล่าวเพียงสังเขปในแง่ “วิธีคิดอันเป็นต้นตอเสน่ห์ทางกระแสจิต” เพราะเสน่ห์ทางกระแสจิตของมนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปตามวิธีคิด สายความคิดของมนุษย์ทั่วไปจะไม่ค่อยขาดสาย จึงปรุงแต่งให้จิตเป็นไปต่างๆนานาได้มากกว่าปัจจัยอื่น

ขอยกเฉพาะวิธีคิดหลักๆที่ก่อรัศมีจิตอันเป็นเสน่ห์ดังนี้
๑) ความคิดเป็นเส้นตรงไม่หมกมุ่นวุ่นวน คือมีเป้าหมายปลายทางของความคิดชัดเจน มีลำดับที่จะไปให้ถึงจุดหมายอย่างแน่ชัด หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกราบรื่น ไม่วกวน และอยู่ใกล้คุณนานๆ อาจพลอยเกิดคลื่นความคิดเป็นระเบียบตามไปด้วย
๒) ความคิดที่เบากริบหรือเงียบเชียบ คือคิดเท่าที่จำเป็น สามารถเว้นวรรคความคิดเพราะรู้จักเสพสุขกับสิ่งอื่น เช่นภาพแมกไม้ เสียงน้ำตก หรือกระทั่งเฝ้าสังเกตการเข้าออกอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติของสายลมหายใจตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลายไม่อึดอัด อยู่ใกล้คุณอาจพลอยสงบผาสุกตามไปด้วยชั่วครู่ และหากคลุกคลีใกล้ชิดกับคุณนานพอ กลุ่มความคิดที่หนาแน่นของเขาอาจพลอยเบาบาง กลายเป็นคนไม่คิดมากตามคุณไปด้วยอย่างถาวร
๓) ความคิดมองโลกในแง่ดี คือมีมุมมองของความหวังด้านบวกเสมอ จึงเชี่ยวชาญในการสร้างทางออก ขณะที่คนทั้งโลกเชี่ยวชาญในการพาตัวไปสู่ทางตัน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกสว่างไสว ไม่มืดมน และอยู่ใกล้คุณนานๆอาจพลอยเกิดแรงบันดาลใจและความหวังใหม่ๆ ตามไปด้วย
๔) ความคิดเผื่อแผ่พร้อมจะเสียสละ คือมีความอยากให้มากกว่าอยากเอา สามารถเป็นผู้ริเริ่มในการให้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนวณเสียก่อนว่าจะได้รับสิ่งใดเป็นผลตอบแทน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เห็นคุณเป็นที่พึ่ง (ขอให้ทราบว่าความเป็นที่พึ่งกับความเป็นคนรับใช้นั้นต่างกันนิดเดียว ระหว่างให้แบบใจอ่อนยินยอมไปหมด กับให้แบบใจดีมีความน่าเกรงใจ ศิลปะของการให้อย่างหลังจะมีเสน่ห์ ขณะที่การให้อย่างแรกจะดูไร้ค่าหรือถึงขนาดน่ารังแก)
๕) ความมีใจเอ็นดูไม่คิดประทุษร้าย คือไม่แม้แต่จะแอบด่า แอบสาปแช่งคนหรือสัตว์ที่ตนเกลียด แต่มีเหตุผลบอกตนเองเสมอว่าทำไมจึงควรให้อภัย เห็นกระจ่างที่มาที่ไปอันน่าเห็นใจของคนแสนเลวสักคน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่หวาดระแวง และบังเกิดความปรารถนาดีต่อคุณ หากเกลียดหรือคิดทำร้ายคุณได้แปลว่าต้องมีใจพาลสันดานหยาบเอาเรื่องทีเดียว
๖) ความคิดมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่ท้อแท้ คือแม้พบอุปสรรคก็ไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น เพราะคิดหาทางรุกคืบไปข้างหน้าเข้าหาเส้นชัยหรือทางออกจากปัญหา ทำอะไรทำจริง พูดอะไรแล้วทำอย่างที่พูด ตั้งใจอะไรแล้วไม่ล้มเลิกง่ายๆ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงพลกำลัง ความเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ความคมคายไม่ทื่อมะลื่อ เต็มไปด้วยความก้าวหน้าพัฒนาสู่ความสำเร็จลุล่วง
๗) ความคิดยับยั้งชั่งใจ คือแม้พบสิ่งยั่วยุให้ละโมบโลภมาก ก็ระงับความทะยานอยากเสียได้หากเห็นว่าไม่ถูกไม่ชอบ หรือแม้พบสิ่งยั่วยุให้พยาบาทอาฆาตแค้น ก็ระงับความหุนหันพลันแล่นอยากโต้ตอบด้วยความรุนแรงเสียได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงขันติ ความอดทนทางใจ
๘) ความคิดไม่เข้าข้างตัวเอง คือไม่หลงตัว ไม่ปกป้องตัวเอง เป็นคนดีจริงด้วยการรู้ตัวว่ายังมีจุดบอดหรือข้อเสียอันใดอยู่บ้าง ไม่ใช่ดีจริงด้วยการประกาศว่าข้าดีพร้อม ข้าทำอะไรไม่ผิดสักอย่าง ไม่คิดเข้าข้างตัวเองแม้ผิดพลาดทำชั่วบ้าง ก็มีระดับมโนธรรมสูงพอจะสำนึกผิดได้ด้วยตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงสำนึกอันดีงามของมนุษย์ กระแสความสำนึกผิดและการรับผิดชอบอย่างอาจหาญจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นกล้าที่จะสำนึกผิด แล้วก็ไม่ต้องขัดแย้งกับตนเอง ไม่ต้องเกลียดตนเองด้วยกำแพงปกป้องตนเองอันน่ารังเกียจ
๙) ความคิดที่รื่นรมย์เบาสมอง คือความสามารถมองแง่ร้ายให้กลายเป็นตลกได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกพร้อมจะมีอารมณ์ขัน นึกสนุก ไม่เคร่งเครียด เต็มไปด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจตามไปด้วย
๑๐) ความคิดแบบผู้ชนะที่มีน้ำใจนักกีฬาและความปรานี ไม่มีใครอยากยืนอยู่ข้างคนแพ้ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากอยู่ใต้อำนาจคนชนะที่เหลิงหลงและหมิ่นศักดิ์ศรีผู้อื่น ผู้ชนะอาจอยู่ในเกมกีฬา เกมธุรกิจ ตลอดจนกระทั่งเกมกิเลส คือถ้าเอาชนะกิเลสยากๆของตนเองได้ก็จัดเป็นผู้ชนะได้เหมือนกัน และเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ด้วย หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกหลงใหลมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นจับตาจับใจได้ง่าย
วิธีคิดแบบอันเป็นตรงข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้น จะบั่นทอนเสน่ห์ลง กล่าวคือกระแสความคิดจะเป็นแบบผลักไสให้ออกห่าง (ตรงข้ามกับพลังดึงดูดใจ) หรือแบบไม่ประทับลงในความทรงจำ (ตรงข้ามกับพลังประทับใจ) หรือแบบระคายเคือง (ตรงข้ามกับพลังชะโลมใจ) เช่นต่อให้มีเสน่ห์ทางกายและเสน่ห์ทางวาจา แต่ถ้าคิดฟุ้งซ่านมากๆเป็นนิตย์ ก็จะก่อคลื่นรบกวนคนใกล้ชิดให้ปั่นป่วนตาม อึดอัดที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดนานๆ เป็นต้น

สูตรปรุงชีวิต

แม้ใครๆ จะบอกว่า ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ แต่เขาคนนี้บอกว่า เราทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุขได้ พร้อมทั้งบอกถึงสูตรสำเร็จของชีวิต แม้กระทั่งการเลือกคู่ การเลือกลูก เราก็กำหนดสเปคได้ แต่ไม่ใช่สเปคทางโลกแบบเก่งและดี ต้องมีปัญญาและเข้าใจสัจจะของชีวิต
ถ้าคนที่เข้าใจชีวิต แม้จะเจออุปสรรคมากมายเพียงใด ก็สามารถยิ้มรับและหาทางออกให้ตัวเองได้ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้เช่นนั้น
บางคนพูดคุยธรรมะได้งดงาม แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน บางคนฉลาดเข้าใจเรื่องทางโลก และรู้สึกว่า การเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์เป็นเรื่องปกติในสังคม บางคนเข้าวัดเข้าวา
พูดคุยธรรมะประหนึ่งเข้าใจชีวิต แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
อาจเป็นได้ว่า มนุษย์มองออกไปนอกตัว จึงมองไม่เห็นบางอย่างในตัวเอง
ลองมารู้จักกับ ดอกเตอร์ทางวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ดร.สนอง วรอุไร แม้จะร่ำเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ จบปริญญาเอก สาขาไวรัสวิทยา จากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ในที่สุดก็หันมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง และพบว่าจิตของเรามีศักยภาพมากกว่าที่คิด สามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่เราไม่รู้จักการพัฒนาจิต
เขาย้อนความว่า ตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ ต้องเรียนหนักมาก แต่พอฝึกจิตก็ส่งผลให้สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น และเข้าใจบทเรียนได้ง่ายขึ้น
เมื่อสามสิบปีที่แล้วเขาได้อุปสมบท และมีโอกาสฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับพระเทพสิทธิมุนี (โชดก ปธ.9 ) ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์เป็นเวลา 30 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกมีคุณค่าที่สุดในชีวิต ทำให้ชีวิตพบจุดเปลี่ยน
หลังจากนั้นดร.สนองเข้าเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนเกษียณอายุราชการ และหันมาเป็นครูบาอาจารย์ทางธรรม เดินสายบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ ด้วยความเมตตาประกอบกับความเข้าใจชีวิตและธรรมะอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่เขาบรรยายจึงมีคุณค่า สามารถจุดประกายความคิดให้หลายๆ คนนำมาใช้ในชีวิต
จนลูกศิษย์รวมกลุ่มกันตั้งเป็นชมรมกัลยาณธรรม ช่วยเผยแพร่ผลงานของเขาออกมาเป็นหนังสือหลายเล่มด้วยกัน อาทิ ทางสายเอก (เล่มนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ชาวต่างชาติได้มีโอกาสศึกษาประสบการณ์การปฏิบัติธรรม) การใช้ชีวิตที่คุ้มค่า อัญมณีของชีวิต ฯลฯ
ล่าสุดทางสำนักพิมพ์อมรินทร์ ได้เปิดตัวหนังสือ ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข ของดร.สนอง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนฟังเกือบเต็มหอประชุมเล็ก ธรรมศาสตร์
1. “ถ้าทำร่างกายให้แข็งแรง เราต้องรักษาใจให้ได้ จริงๆ แล้วความรู้เหล่านี้มีมานานแล้ว ถ้ามีสุขภาพจิตดี กายก็จะดีไปด้วย “ดร.สนอง เริ่มเล่าให้ญาติโยมและผู้สนใจฟัง จากตัวอย่างของเขาเองปัจจุบันอายุ 68 ปี ยังแข็งแรงและดูอ่อนกว่าวัย เพราะหมั่นฝึกดูใจตัวเองตลอดเวลา
เขาเล่าว่าในยุคที่บุกเบิกมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต้องทำงานหนัก จนเป็นโรคกระเพาะ หลังจากฝึกจิตที่วัดมหาธาตุ ก็ค้นพบว่า โรคพวกนี้มาจากความเครียด หลังจากเรียนรู้เรื่องการฝึกจิตสมาธิผ่านมา 30 ปี ไม่เคยป่วยเป็นโรคอะไรเลย
เขาได้เขียนไว้ในหนังสือว่า ถ้าเราสามารถรักษาสมดุลของธาตุทั้งสี่ในร่างกายได้ โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่เกิด อย่างคนขี้หนาวต้องดื่มน้ำเยอะๆ ในทางวิทยาศาสตร์น้ำคือ ตัวเก็บความร้อน
ดร.สนองย้อนความถึงสมัยเรียนลอนดอนว่า เคยป่วยไม่สบายเพราะทำงานหนัก ตอนนั้นเป็นไข้หวัดใหญ่และอาจตายได้ ก็พยายามขอนัดแพทย์ เพราะอยู่ที่นั่นไม่สามารถซื้อยารับประทานเองได้ ต้องมีใบสั่งแพทย์ แต่วันนั้นแพทย์ไม่มีคิวให้ เราก็ต้องรอวันรุ่งขึ้น
“วันนั้นผมจึงรักษาตัวเองไปก่อน ไปนอนแช่น้ำอุ่น ปรากฏว่าอาการป่วยหาย ไปหาหมอในวันรุ่งขึ้น ไม่มีไข้เลย คนโบราณพูดถึงธาตุทั้งสี่ไว้คือ ดินน้ำลมไฟ ถ้าร่างกายมีสมดุลก็จะแข็งแรง แต่ถ้าเมื่อใดธาตุไหนหย่อนก็มีปัญหา อย่างการกินอาหารไม่สะอาด ก็ต้องกินน้ำเข้าไปเยอะๆ เราต้องรู้จักร่างกายตัวเอง“
เขายกตัวอย่าง และเล่าถึงสมัยหนุ่มๆ ว่า เคยรับประทานไข่วันละฟอง จนมีปัญหาต้องไปพบแพทย์ ปัจจุบันหันมากินไข่ได้อีก ทั้งๆ ที่ตอนนี้อายุ 68 ปี เพราะเราหมั่นสังเกตตัวเอง ถ้ามึนศีรษะเมื่อไหร่ก็จะหยุดทันที เพราะร่างกายเตือนเราล่วงหน้า
“ผมมีเพื่อนคนหนึ่งรับประทานไข่วันละ 10 ฟอง แต่เจอกันวันสุดท้ายที่งานศพ อย่างเวลาผมกินไข่ ถ้ามีอาการมึนศีรษะเมื่อไหร่ก็หยุด อีกอย่างถ้ารู้ว่าไขมันในเลือดสูง ก็อาจจะดื่มน้ำดอกคำฝอย บอระเพ็ด เติมน้ำร้อนแล้วดื่ม เพื่อให้ร่างกายสมดุล ก่อนอื่นต้องตั้งโปรแกรมจิตไว้ว่า ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ปวดศีรษะ แต่ผมคิดว่า
อายุเท่าไหร่ไม่สำคัญขอให้อยู่เพื่อทำประโยชน์ให้สังคม”
เขาย้ำอีกว่า แม้กระทั่งการตายก็มีสัญญาณเตือน อยู่ที่ว่าใครจะระลึกได้ทัน
2. นอกจากหลักการดูแลตัวเองง่ายๆ คือ การฟังเสียงร่างกาย หมั่นสังเกตตัวเองแล้ว เราก็ต้องมีสติและเข้าใจหลักการของธาตุทั้งสี่ และตั้งโปรแกรมจิตว่า จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ย่อมทำได้
แม้หลายคนจะค้านอยู่ในใจว่า สามารถทำได้จริงหรือ ดร.สนอง บอกว่า ต้องรู้จักคิดในแง่บวก คำว่า ไม่มี ไม่ได้ ไม่เกิด อย่าได้มาเกิดกับเขาเลย
และเรื่องน่าคิดอีกอย่าง ก็คือ คนที่มีธรรมะในใจจะทำงานด้วยตัวเองอย่างมีความสุข ไม่ชี้นิ้วให้คนอื่นทำแทน การทำงานด้วยตัวเองก็เพื่อให้ร่างกายได้ออกกำลังกาย คนที่มีธรรมะจะไม่เกี่ยงงาน จะทำงานด้วยใจอย่างมีความสุข อย่างน้อยๆ ต้องหัดเดินออกกำลังกายวันละสามสิบนาที อย่าอยู่เฉยๆ
“ถ้าจิตไม่นิ่ง คลื่นสมองจะเปลี่ยน” ดร.สนอง ย้ำและยกตัวอย่างตัวเขาเอง หลังจากศึกษาธรรมะแล้วมีความจำดีกว่าตอนหนุ่มๆ และเวลาบรรยายธรรม เขาจะไม่อ่านตำรับตำรามากมาย แต่จะทำใจให้สงบนิ่งเพื่อดึงศักยภาพในตัวเองมาใช้ ไม่ว่าจะข้อมูลที่สะสมในชีวิตหรือความเข้าใจชีวิต เพราะความเป็นจริงแล้ว จิตของเราสั่งสมข้อมูลแต่ละภพแต่ละชาติไว้ เพียงแต่เราจะระลึกได้หรือไม่
ปัจจุบันคนเราใช้ศักยภาพของพลังจิตเพียงแค่ 7% ด้วยเหตุผลนี้เอง คนที่ฝึกสติอย่างเชี่ยวชาญก็จะใช้ประโยชน์ทำงานได้เต็มที่ แต่เมื่อใดจิตว้าวุ่น ปัญญาก็จะไม่เกิด
“ผมเคยบอกเพื่อนว่า ถ้ามีปัญหา ขอให้ลองอยู่นิ่งๆ สักพัก ปัญญาก็จะเกิด “
นอกจากนี้การฝึกสมาธิง่ายๆ ยังมีอีกมากมาย แม้แต่การฟังเพลงคลาสสิกก็สามารถสร้างสมาธิได้ ขอให้มีสติกำหนดรู้เท่าทันอิริยาบทปัจจุบัน การร้องเพลงในโบสถ์ก็เป็นอีกวิถีหนึ่งของการเข้าสู่ความสงบ ทิเบตก็มีดนตรีประกอบพิธี หรือดนตรีอินเดีย (พูดถึงดนตรี ก็เลยร้องเพลงให้ฟัง)
การสวดมนต์ ก็เป็นการเข้าสมาธิอย่างหนึ่ง ถ้าเรามีใจจดจ่อ ไม่ได้เอากิเลสเข้าไปปรุงแต่งก็จะได้สมาธิ
“ปกติผมจะบอกคนอื่นๆ ว่า อย่าเชื่อผม ให้ดูตามเหตุผล อย่างบางคนศรัทธามาก แต่ปัญญาไม่เกิด ผมว่าสติต้องพัฒนา”
3. การเข้าถึงศักยภาพของตัวเราเอง อาจเป็นเรื่องยากในความรู้สึกบางคน แต่สำหรับดร.สนองแล้วดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยาก เขาย้ำว่า ถ้ากายแข็งแรงต้องเคลื่อนไหวตลอด แต่จิตต้องสงบนิ่ง ยิ่งคนเราขี้เกียจมากเท่าไหร่ ก็จะมีพลังน้อย
หันมาพูดเรื่องการกำหนดสเปคให้ชีวิต ดูท่าจะสนุกกว่า เขาบอกว่า การเลือกคู่มีสองแบบคือ คู่สร้างคู่สมและคู่เวรคู่กรรม อย่างคู่สร้างคู่สมคือ คู่ที่เคยผูกพันกันทำกุศลกรรมร่วมกันมานาน และได้มาเกิดในสถานภาพใกล้เคียงกัน ส่วนคู่เวรคู่กรรมคือ คู่ที่เคยเป็นศัตรูหรืออาฆาตจองเวรกันมาในชาติก่อน แล้วมาเกิดเป็นคู่กัน
แล้วเราจะเลือกคู่แบบไหนดีล่ะ
เขาบอกว่า เป็นเรื่องต้องพิถีพิถัน ไม่ต่างจากเวลาเราซื้อของ ก็ต้องกำหนด สเปค แต่ถ้าคุณวางสเปคไว้ว่าต้องไอคิวสูง (ความฉลาดทางปัญญาความคิดที่เกิดจากการคิดมากฟังมาก) อีคิวสูง(ความฉลาดทางอารมณ์) และเอสคิว (ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ ไม่ตกเป็นทาสของสรรพสิ่ง)
ถ้าคุณกำหนดสเปคว่า ต้องดีทั้งสามอย่าง ดร.สนองว่า ชาตินี้คุณไม่ได้แต่งงาน ถ้าเป็นเช่นนั้น เราต้องปรับตัวก่อนทำจิตทำใจให้มีศีลมีธรรม ถ้าจะเลือกคนมาเป็นคู่ ไม่จำเป็นต้องไอคิวสูงก็ได้ ขอให้เป็นคนดีคือ มีอีคิวสูง
ก่อนอื่นต้องรู้จักพัฒนาจิตใจตัวเอง คือ ส่องกระจกดูใจ เพราะทุกวันนี้เราออกจากบ้าน เราจะดูว่า แต่งตัวเหมาะสมไหม แล้วเราเคยดูใจของตัวเองไหม
“บางคนปฏิบัติธรรมมานาน แต่ธรรมะไม่ได้เข้าไปอยู่ในใจ ก่อนอื่นต้องดูที่ใจ แล้วแก้ที่ตัวเองก่อน คนอื่นเป็นครูของเรา อย่างชาวตะวันตกเวลาสอนให้คนดูต้นไม้ สัตว์หรือธรณีวิทยา ก็จะศึกษาข้างนอก ไม่ได้ศึกษาด้านใน”
เมื่อพูดถึงชีวิตด้านใน มีคนถามถึงเรื่องการสวดมนต์ที่ไม่รู้คำแปลจะมีประโยชน์อย่างไร ดร.สนองบอกว่า คนจำนวนมากสวดมนต์เพื่อให้จบเร็วๆ นั่นก็ได้สมาธิ แต่ไม่มาก แต่ควรสวดด้วยใจ ถ้าให้ดีก็ควรรู้ความหมาย บางบทก็จะได้แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ไปด้วย
“ความเมตตาถ้าเราส่งคลื่นจิตออกไปตรงกัน เขาก็รับรู้ได้ มันอยู่ที่คลื่นส่งของเราด้วย “
ในวงสนทนาก็มีคำถามมากมายที่หลายคนสงสัย แต่ดร.สนองสามารถตอบปริศนาได้บางส่วนเท่านั้น เพราะเวลาค่อนข้างจำกัด ยิ่งถ้าถามว่า ระหว่างการให้ทาน ถือศีล และปฏิบัติสมาธิภาวนา อันไหนจะได้บุญกุศลมากที่สุด
เขามีคำตอบว่า การภาวนาเพื่อพัฒนาจิต น่าจะเป็นแนวทางเพื่อให้มนุษย์ไปสู่จุดมุ่งหมายคือ ปัญญา เพราะถ้าเข้าสมาธิ เพื่อขจัดอารมณ์ปรุงแต่งได้ ย่อมเป็นเรื่องดี และสมาธิไม่จำเป็นต้องนั่งอย่างเดียว ทำได้ทุกอิริยาบท เพื่อให้เกิดปัญญาขจัดกิเลส และช่วยเหลือคนอื่นได้
แม้จะเป็นฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมได้เช่นกัน เมื่อก่อนเขาเองก็ไม่เชื่อ จนเข้าถึงอภิญาณ และหากบวชเป็นพระสงฆ์ คงพูดเรื่องพวกนี้ไม่ได้
นี่เป็นบางส่วนที่ดร.สนองเล่าให้ฟังวันนั้น เขาพยายามเน้นย้ำเรื่องการฝึกสติอย่างเข้าใจ ถ้ามีศรัทธาก็ต้องมีปัญญาด้วย อย่างน้อยๆ ก็ต้องหัดเจริญสติไปเรื่อยๆ อย่าหวังว่าจะได้ญาณหรือเห็นนิมิต
ลองหันมาพัฒนาจิตเพื่อจะได้ไม่เป็นทาสของกิเลส ตัณหา และรู้จักกำหนดชีวิตตัวเองอย่างคนที่มีปัญญา นั่นก็จะเป็นจิ๊กซอว์ช่วยเหลือคนอื่นต่อไป

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ศิลปะในการทำให้หลงรัก

หัวข้อเรื่องที่ผมจะคุยให้ฟังในตอนนี้ ผมแปลมาจาก ภาษาอังกฤษว่า THE ART OF SEDUCTION ซึ่งถ้าแปลตรงๆ แล้วก็คงจะต้องเป็น ศิลปะในการทำให้หลงรัก นั่นเอง ทำไมหนอ การที่จะให้ใคร มารักเราสักคน นี่ต้องใช้กลยุทธ์ อะไรด้วยหรือ? บางครั้งรักแท้ ก็ต้องการเวลานะครับ!!
กลยุทธ์ในการพิชิตรักนี่ ไม่ใช่กลยุทธ์ในการนำพาสาวขึ้นเตียงนอนนะครับ แต่ผมจะเขียนถึงกลยุทธ์ที่คุณผู้ชายจะหาผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตครับ คนที่จะเป็นแม่ของลูก และคนที่จะไหว้หลุมฝังศพคุณ ถ้าบังเอิญคุณ มีอันเป็นไปเสียก่อน ประเภทเจอกัน ชั่วค่ำคืนเดียวแล้วก็เป็นของกันและกันนั้น เขาไม่ได้เรียกว่า เนื้อคู่หรอกครับ จะเป็นก็แค่คู่นอนเท่านั้น.. และรับรองว่า ไม่ปลอดภัยอย่างเด็ดขาด
รักแท้ต้องการเวลา ในการพิสูจน์ใช่ไหมครับเพราะฉะนั้น กลยุทธ์แรกในการมัดใจสาว ก็คือ ความอดทน ความมานะพยายามเท่านั้น ที่จะทำให้คุณมัดใจสาวคนรักไว้ได้ ความมานะพยายามจะทำให้คุณ สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ไม่ว่าจะ พ่อตา แม่ยาย สุนัขเฝ้าบ้าน คนใช้ ฯลฯ แต่ถ้าพยายามอดทนแล้วความรักก็ไม่คืบหน้าไปสักที ลองพิจารณาให้ถ่องแท้ดูว่าเธอคนนั้นที่คุณหมายปอง มีคนรักอยู่หรือเปล่า, มีชายหนุ่มอีกคนที่อาจจะหล่อกว่า รวยกว่า หรือหนุ่มกว่าคุณมาจีบอยู่ จนกระทั่งเธอไม่มีคุณอยู่ในสายตาของเธอ, เธอสวยงามมากจนหลงตัวเอง ว่าไม่รู้จะเลือกใครดี เนื่องจากตอนนี้มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ และพ่อม่าย มารุมตอมอยู่เป็นสิบๆ คน, เพิ่งจะโดนผู้ชายคนหนึ่งทิ้งไปหมาดๆ และบาดแผลยังคงค้างคาอยู่ในดวงใจเธอ ฯลฯ ถ้าแบบนี้ รอหาใหม่ดีกว่าครับ กลยุทธ์ข้อที่ 2 ก็คือ ความกล้าหาญ อดทนอย่างเดียวไม่พอครับ ต้องมีความกล้าหาญที่จะแสดงให้เธอและใครๆ รอบๆ ข้างเธอรู้ด้วยว่าคุณรักเธอ และรักเธอชนิดที่ต้องการได้เธอมาเป็นคู่ชีวิต ไม่ใช่คู่นอน หรือทางผ่าน เรื่องนี้ต้องประกาศให้ศัตรูทั้งหลายที่จะมาขวางทางรักให้เข้าใจ แต่ต้องกล้าหาญให้ ถูกที่ ถูกเวลา และเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่ใช่เดินเข้าไปในบ้านเธอ โดยไม่ดูตาม้าตาเรือว่าตอนนั้น คุณพ่อและคุณแม่เธอกำลังเถียงกันอยู่ แล้วดันไปบอกว่า คุณรักลูกสาว แบบนี้ถ้าไม่โดนกระโถนปาศีรษะ ก็อาจจะโดนสั่งให้สุนัขเฝ้าบ้านกัดเอา จนหนีกระเจิงออกจากบ้านไม่ทัน ปัญหาอยู่ที่ว่า คุณจะกล้าหาญพอที่จะบอกเธอว่า ผมรักคุณหรือไม่ และจะบอกที่ไหนเท่านั้น เรื่องนี้ควรจะต้องหาทางสร้างบรรยากาศให้โรแมนติก เป็นส่วนตัว ในเวลาที่เธออารมณ์ดี และแน่นอน ไม่ใช่เวลาใกล้ช่วงนั้น ของรอบเดือนของเธอ ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่จะหงุดหงิดมาก แสดงให้เธอเห็นว่า คุณรักเธอเต็มร้อย รักเธอด้วยหัวใจ และแน่นอนว่าห้ามคิดเด็ดขาดเรื่องที่เธอจะรู้ว่าคุณรักเธอหรือไม่ ไม่ว่าคุณจะตามเฝ้ารับส่ง รับทำงานแทน ซื้อของขวัญให้เป็นประจำ แต่ถ้าคุณไม่มีความกล้าพอที่จะบอกว่า ผมรักคุณแล้ว ระวังสุนัขเถื่อนมาคาบไปรับประทานเสียนะครับ รักแล้วต้องบอกว่ารัก... ห้ามอ้ำอึ้งหรืออมพะนำไว้เด็ดขาด บอกเธอว่า รัก แล้ว เธอไม่รับรัก นั่นมันเรื่องของเธอแล้ว ไม่ใช่เรื่องของเราสักหน่อย... เพราะอกหักดีกว่ารักไม่เป็น คิดเสียว่า เธอไม่รับรักเรา อีกหน่อยเธอไปหลงเสน่ห์จิ้งจอกหนุ่มตัวอื่นแล้วโดนหลอก ก็จะคิดถึงเราเอง ...เพียงแต่เมื่อเธอหวนกลับมา คุณจะรับของใช้แล้วหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าคิดว่า บริสุทธิ์ใจ ดีกว่า บริสุทธิ์กาย ก็รับเอาไว้เถิดครับ ถ้าทำไม่ได้ ก็รับไว้เป็นเพื่อนต่อไป ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เรื่องนี้ใครๆ ก็พลาดกันได้จริงไหมครับ กลยุทธ์ที่สาม ความรักคือการให้ และยินดีที่จะได้รับตอบ จริงอยู่ ความรักคือการให้ แต่คุณผู้ชายทั้งหลายจะต้องเข้าใจไว้นะครับว่า ให้อย่างเดียวไม่ได้ โลกนี้ทุกอย่างจะต้องพอดี มี ให้ ก็ต้องมี รับ ถ้าขืนคุณมัวแต่หน้ามืดตามัว ให้เธออยู่ข้างเดียว เธอก็จะคิดว่าคุณน่ะเป็นหมูในอวยแล้วเธอก็ไป "ให้" คนอื่นแทน เห็นมาหลายรายแล้วนะครับ คุณให้เธอไป ถ้าเธอให้ตอบกลับมาบ้างนั้นแหละครับ แสดงว่ามีความก้าวหน้าแล้ว แต่ถ้าให้ของขวัญแล้ว ให้ความรักแล้ว ให้ทุกอย่างแล้ว แต่เธอก็เฉย ผมว่าค่อยๆ ถอนตัวกลับมาก่อนดีกว่า ที่จะเสียใจในภายหลัง
และถ้าเธอให้อะไรคุณกลับคืนมาบ้าง ต้องแสดงความชื่นชม และยินดีที่ได้รับตอบนะครับ เพราะเมื่อมีมิตรจิตก็ต้องมีมิตรใจ คงไม่ต้องถึงขั้นที่ว่า ดีดีตอบ ชอบชอบแทน ร้ายร้ายแสน หรอกนะครับ และถ้าคุณเห็นว่า เธอคนนั้นที่คุณคิดจะรักหรือกำลังรักอยู่นั้น ด้อยคุณค่าเกินกว่าที่คุณจะเสียเวลาต่อไปแล้วละก็ วิธีการสลัดรักที่ดีที่สุดก็คือ ทำให้เสมือนว่าเธอเป็นคนทิ้งคุณไปหาคนใหม่โดยไม่ได้สนใจ กับความรักที่แสนจะบริสุทธิ์ของคุณเลยครับ ไปหลงเสน่ห์ความปากหวานของหนุ่มคนใหม่ โดยทิ้งคุณที่แสนจะเป็นคนดีในสายตาของคนรอบข้างไป กลยุทธ์ข้อที่สี่ คือ เปิดเผย ซื่อสัตย์ และจริงใจ ความเปิดเผย เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ผู้หญิงดีๆ ทั้งหลายพึงพอใจ มากกว่าความปากหวานแต่ลึกซึ้งซ่อนอะไรไว้ใต้รอยยิ้ม
นอกจากนี้ ความซื่อสัตย์อาจจะจริงที่ว่า รับประทานไม่ได้แต่เท่ นั้นเป็นสิ่งที่คนเราทุกคนควรจะมี แต่เชื่อเถิดครับว่าเมื่อถึงเวลาที่ผู้หญิง เขาจะตัดสินใจเลือกชาย 2 คนที่มารักเธอแล้ว เธอจะเลือกคนที่ซื่อสัตย์ก่อนเสมอ คุณจะจีบสาวให้สำเร็จ คุณต้องมีความจริงใจครับ ความจริงใจจะปรากฏอยู่บนสายตาของคุณทุกครั้งที่เจอะเจอกับเธอ แล้วเธอก็จะสัมผัสได้และรับทราบความรักที่จริงใจของคุณนั้น อาจารย์ที่ผมเคารพมากท่านหนึ่ง เคยสอนผมว่า จะทำอะไรให้สำเร็จอย่าลืมว่าต้องกระทำด้วยความ "จริงจัง จริงใจ ต่อเนื่อง เป็นระบบ และครบวงจร" ครับ พระคุณของท่านที่สอนผมในสูตรสำเร็จดังกล่าว ผมยังจำได้มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ท่าน ศ.น.พ.วิฑูร โอสถานนท์ เป็นคนสอนผมด้วยหลักการดังกล่าว และผมก็คิดว่าในการจะแสดงให้ใครสักคนหนึ่ง เห็นความจริงว่าเรารักเธอนั้น ต้องกระทำด้วยความจริงจังและจริงใจ ทั้งยังต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอ เป็นระเบียบระบบมีแบบแผนอย่างชัดเจน รวมทั้งต้องครบวงจรด้วย คุณผู้อ่านทั้งหลายเป็นเหมือนผมไหมครับ กลยุทธ์ที่ 5 คือ มีความเชื่อมั่นและมองโลกในแง่ดี ความเชื่อมั่น ในวิถีทางดำรงชีวิตในภายภาคหน้านั้น จะแสดงออกจากการพูดจา ท่วงท่าเดินเหิน การวางตัว น้ำเสียงที่มั่นใจ ฯลฯ คุณต้องฝึกแสดงให้เธอเห็นครับว่า คุณเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองในการที่จะนำพาชีวิตคู่ของคุณ และเธอไปให้ตลอดรอดฝั่ง อย่าลืมเสียนะครับว่า ผู้หญิงเกิดมาแสวงหา ความรัก ความอบอุ่น และความมั่นคง คุณให้เธอได้ทั้งสามอย่าง ถ้าเธอไม่เลือกคุณ ผมว่าก็คงจะตาบอดตาใส หรือไม่ก็กรรมยังบังตาอยู่แล้วละครับ การมองโลกในแง่ดี จะช่วยให้คุณเป็นคนมีความสุข และการเป็นคนมีความสุขของคุณ จะทำให้เธอเกิดความอบอุ่นเมื่อใกล้ชิด กลยุทธ์ข้อที่ 6 เอาชนะอุปสรรคด้วยใจสู้ การพิชิตรักมีมากมาย ล้วนแล้วแต่ทำให้คนเราคิดจะเอาชนะอุปสรรคแทบทั้งสิ้น... คุณไม่คิดจะเอาชนะบ้างหรืออย่างไร การเข็นครกขึ้นภูเขานั้น แม้ว่าจะเป็นงานที่ยากแสนเข็ญ แต่ถ้าคุณทำได้ วันที่คุณขึ้นไปยืนบนยอดเขา เพื่อประกาศถึงชัยชนะแห่งความพยายามของคุณ ก็คือวันที่คุณและเธอเข้าสู่ประตูวิวาห์นั่นเอง

ศิลปะของการครองรักครองเรือน

เขาว่ากันไว้ว่า "แรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ครั้นอยู่นานไป น้ำอ้อยก็กร่อยขม" แม้ว่าจะเป็นประโยคที่กล่าวต่อเนื่องมาจากโบราณกาลแล้ว แต่ก็ดูยังทันสมัยอยู่เสมอในปัจจุบัน หลายต่อหลายคู่แรกรักกันใหม่ๆ ก็จี๋จ๋าหวานซาบซึ้งกัน มองตากันทั้งวัน จับมือกันทั้งวัน ไปไหนไปด้วยกัน ไม่ยอมแยกห่างจากกันแม้แต่วินาทีเดียว... แบบนั้น มันก็เว่อร์ไปหน่อยจริงไหม และคู่รักหวานแหววแบบนี้ คนเขาก็มักจะนินทาลับหลังว่า ดูไปเถิด ไม่นานก็เลิกกัน รับรองว่าก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำเลย คิดว่าคนที่พูดแบบนั้น คงจะพูดด้วยความอิจฉาริษยา แต่ครั้นสังเกตไปนานๆ เข้า ก็ดันเป็นจริงแบบนั้นเสียด้วยซิ!!
ตรงกันข้าม หลายคู่ที่เริ่มต้นแบบราบเรียบธรรมดา ไม่หวือหวาอะไร แต่พยายามเข้าใจกัน ปรับตัวเข้าหากัน ด้วยความรัก ความผูกพัน ความรักของเขาและเธอกลับหวานแหววเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป และกลับมีชีวิตคู่ที่แสนหวาน น่ารัก เป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง ...นั่นเป็นศิลปะของการครองรักครองเรือนมิใช่หรือ ??? อย่างน้อยบางเรื่องบางราวของคนในยุคโบราณก็น่าจะนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตคู่ได้ เพราะการจะมีคู่ครองสักคน ต้องอาศัยทั้งความอดทน อดกลั้น และอดออม คนโบราณมักจะสอนว่า ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบอกยอดเพ็ชร ขอให้ครองคู่กันไปตราบนานเท่านาน ขอให้มองเห็นความดีของกันและกัน ขอให้ใช้ความดีพิชิตใจของแต่ละฝ่าย ขอให้ออมชอมถนอมน้ำใจกันและกัน อะไรหนักนิดเบาหน่อยก็ขอให้อภัยกัน เคยเขียนให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันเสมอๆ ว่า ชีวิตคู่นั้น จะหวังให้คนอีกคนหนึ่งมาได้ดังใจของเรา เป็นไปไม่ได้ การจะเปลี่ยนนิสัยของคนอีกคนหนึ่งให้มาเป็นแบบที่ตนเองต้องการ ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าใครคิดจะมีคู่สักคน แล้วหวังว่าเขาหรือเธอจะเป็นไปในรูปแบบที่ตัวเองต้องการเพราะความรัก ขอบอกว่า คิดผิดอย่างมหันต์ เพราะยากพอๆ กับให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกนั่นแหละ และใครที่คิดแบบนี้ ก็มักจะพบความผิดหวังในชีวิตคู่เป็นที่แน่นอน ถ้าจะให้ชีวิตคู่มีความสุข ขอบอกเลยว่า คำต่อไปนี้มีความหมายมากในการมีชีวิตคู่ที่สุขสม... เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน และให้อภัยกัน เป็นคำที่ยังคงทันสมัยเสมอ แม้กาลเวลาจะผ่านไป เพราะถ้าคุณทำได้...คุณจะไม่ผิดหวังในบุคคลที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของคุณเลย ชาย...หญิงนั้น คิดต่างกัน อุปนิสัยต่างกันในทุกเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก หรือกามารมณ์ ถ้าไม่พยายามจะเข้าใจกันแล้ว ชีวิตคู่มักจะพังทลายไปทุกที แต่ถ้าพยายามเข้าใจกันและปรับตัวเข้าหากัน บางคนที่แต่งงานกันเพราะความกตัญญูต่อบุพการี อาจจะมีความสุขมากกว่าคนที่บอกว่าแต่งงานเพราะรักกัน แต่หลังจากนั้นไม่พยายามจะเข้าใจกันมากมายนัก ความรักนั้น ต้องหมั่นเติมทุกวัน และทุกเวลาที่มีโอกาส ไม่อย่างนั้นความรักที่มีอยู่อาจจะแห้งเหือดหายไปได้ในที่สุด ไม่อย่างนั้นจะมีคำพูดว่า... รักวันเติมวันกันหรือ เตือนตัวเองไว้เสมอว่า วันนี้ได้เติมความรักให้แก่กันหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นวาจา หรือการกระทำ แน่นอน กามารมณ์ที่เป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ ก็ต้องได้รับการปรุงรสเช่นกัน เหมือนกับการรับประทานอาหารนั่นแหละ บางวันก็อยากจะทานอาหารทะเล บางวันอยากกินเนื้อย่าง บางวันแค่ข้าวผัดสักจานก็พอ เซ็กซ์หรือกามารมณ์ในชีวิตคู่ ก็ต้องได้รับการปรุงแต่งรสให้ใหม่เสมอ ไม่อย่างนั้น นานไปก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่เชื่อคุณลองไปรับประทานอาหารอะไรสักอย่างหนึ่งทุกวันซิครับ แล้วดูว่าคุณทานได้นานเท่าใด เคล็ดลับของการเติมรัก...ปรุงรส จึงเป็นเคล็ดลับในการครองชีวิตคู่ และสิ่งที่ต้องการเป็นอันดับแรกในชีวิตก็คือ... ทำอย่างไร ให้ชีวิตคู่ยืนยาวและเป็นสุขไม่ใช่หรือ
การมีชีวิตคู่ด้วยความรัก จึงเป็นปฐมบทของการใช้ชีวิตร่วมกันในทุกยุคทุกสมัย กล่าวกันว่า คนเรานั้นเกิดมาเพื่อแสวงหาความรัก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่ว่าความรักนั้นจะเป็นความรักต่อต่างเพศ หรือเป็นความรักในเพศเดียวกัน ก็นับเป็นความรักเช่นกัน
ต้องเรียนให้ทราบกันก่อนว่า ในปัจจุบันนี้จิตแพทย์และนักจิตวิทยาทั้งหลาย ได้มีความเห็นที่ตรงกันว่า ความรักในเพศเดียวกัน เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เป็นความผิดปกติของจิตใจแต่อย่างใด แต่รูปแบบของความรักของคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ก็ยังคงเป็นความรักของชายและหญิง ซึ่งย่อมแน่นอนว่า ในความคิดแล้วเรื่องอะไรก็ตามแต่... ชายหญิงมักจะคิดต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องของสัมพันธภาพและความรักแล้ว กล่าวกันว่า ผู้ชายมาจากดาวอังคาร และผู้หญิงมาจากดาวพระศุกร์ ผู้ชายมีความรักแบบ 'อีโรติก' ในขณะที่ผู้หญิงมีความรัก 'โรแมนติก' ผู้หญิงต้องมีความรักก่อน จึงเกิดอารมณ์พิศวาส แต่ผู้ชายเมื่อมีความสุขสมจากบทพิศวาสแล้ว จะเกิดความรักในตัวของผู้หญิงที่มีความสุขด้วยมากขึ้น ผู้หญิงย่อมมีเซ็กซ์เพื่อตอบแทนความรัก แต่ผู้ชายบอกรักผ่านการมีเซ็กซ์
...การใช้ชีวิตคู่ จึงต้องอาศัยการปรับตัวเข้าหากัน และพบกันครึ่งทาง พยายามที่จะทำให้คนที่มาใช้ชีวิตคู่เข้าใจและมั่นใจในความรักที่มีต่อกัน ชีวิตคู่ของคนสองคนในระยะแรก จึงเปรียบได้กับดอกกุหลาบสีแดงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์พิศวาสที่ร้อนแรง มีความหลงไหลและรู้สึกถึงความดึงดูดใจของเพศตรงข้าม กามารมณ์ จึงเป็นสัมผัสรักที่จับต้องได้ในระยะแรกของสัมพันธภาพ การร่วมรัก จึงเป็นการบอกรักกันด้วยภาษากาย และเมื่อเกิดความสุขสมร่วมกันแล้วก็อาจจะเกิดการผูกพันทางใจร่วมด้วย
แต่ชีวิตคู่ที่มีความรัก ซึ่งผสมด้วยบทพิศวาสที่ร้อนแรงนั้น ต้องมีการพัฒนาต่อไป ชีวิตคู่ จึงจะสุขสม ราบรื่น และยืนยาว เพราะบทพิศวาสและความเสน่หานั้น เป็นความรักแบบหลงไหลได้ปลื้ม ซึ่งจะอยู่ไม่นาน คู่รักที่เข้าใจ จึงต้องพัฒนาชีวิตรักให้เป็น...ดอกกุหลาบสีชมพูที่สดใส เป็นความรักที่พัฒนามาจากความรักของหนุ่มสาวให้กลายเป็นความรักฉันท์เพื่อนที่เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน ชีวิตคู่ที่รู้จัก ขอโทษ ขอบคุณ และให้อภัย ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ยืนเคียงข้างกันในทุกสถานการณ์อย่างมีสติ ย่อมเป็นชีวิตคู่ที่อยู่กันด้วยความรักความผูกพันที่พัฒนาจนเป็นชีวิตคู่ของมิตรแท้ที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่กัน โดยไม่เห็นแก่ตัว... แบบเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ ...และพัฒนาต่อไปจนเป็น เพื่อนคู่ชีวิต ซึ่งจะครองคู่กันด้วยความบริสุทธิ์ใจที่มอบให้แก่กัน ประดุจดอกกุหลาบสีขาวที่แสนจะบริสุทธิ์ นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนหวังและตั้งใจเอาไว้ว่า ขอให้ได้ประสบพบเห็นในชีวิตนี้
นักจิตวิทยากล่าวว่า ความรักของคนเรานั้น มีการแสดงความรักออกมา 5 วิธีคือ
1. ความรักแบบต้องการสัมผัส เป็นความรักที่มีการแสดงออกที่สัมพันธุ์กับความรู้สึกด้านร่างกาย ที่ต้องการได้รับสัมผัสที่อบอุ่น ได้อยู่ใกล้ชิดกันและมีการตอบสนองทางกายต่อกันและกัน
2. ความรักแบบโรแมนติก เป็นความรักที่มีความรู้สึกหลงไหล ที่รุนแรง รู้สึกว่าอีกฝ่ายดึงดูดใจอย่างมาก
3. ความรักแบบต้องการอยู่ร่วมกัน เป็นความรักที่ต้องการการมีส่วนร่วม แบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ ต่อกัน ต้องการใช้เวลาอยู่ร่วมกันและทำตามคำขอร้องของคู่ของตน
4. ความรักแบบต้องการความแน่ใจ เป็นความรักที่ต้องการความมั่นคงทางใจ อยากให้คู่ของตนเข้าใจตนเอง ขณะเดียวกันก็พยายามเอาอกเอาใจอีกฝ่าย เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
5. ความรักแบบสัญญาใจ เป็นความรักที่มักเกิดหลังจากใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จนเกิดการผูกพันเป็นสัญญาใจ ที่ต่างก็ยอมรับการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน และเป็นความรับผิดชอบที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกที่มั่นคงต่อกัน
รูปแบบของการแสดงความรัก 5 วิธีนั้น เป็นรูปแบบที่เสนอโดยคุณหมอผู้อำนวยการ สำนักโครงการสร้างเสริมสุขภาพระดับพื้นที่ของสถาบันส่งเสริมสุขภาพ โดยเรียบเรียง และแปลจากแบบทดสอบภาษาอังกฤษ ซึ่งน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตคู่อย่างสุขสมและราบรื่น ไว้พิจารณาการแสดงความรักต่อกันให้สอดคล้องต่อความปรารถนาของคู่ชีวิต เพราะชีวิตคู่นั้น ต้องอยู่บนรากฐานของความรัก จึงจะยั่งยืน และสามารถครองชีวิตคู่กันไปจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร เป็นชีวิตคู่ที่เปี่ยมไปด้วย ความรักและความผูกพันที่มีต่อกัน...

วิษุวัต

Ecliptic (อิคลิปติค) แปลว่า "การบังกัน" เป็นระนาบที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ เราจึงเห็นดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่านทรงกลมท้องฟ้าบนเส้นนี้ด้วย และเนื่องจากระบบสุริยะเกือบทั้งหมดมีระนาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ไม่แตกต่างจากระนาบของโลกมากนัก เราจึงสามารถเห็นการบังกัน ของวัตถุต่างๆ บนแนวเส้นนี้ด้วย เช่น จันทรุปราคา สุริยุปราคา และ ปรากฏการณ์ดวงจันทร์บังดาวเคราะห์ (Occultation) ด้วย
Equinox (อิควิน๊อกซ์) ในภาษาไทยเรียกว่า "วิษุวัต" เป็นช่วงที่เส้นอิคลิปติค (ecliptic) ตัดกับเส้นศูนย์สูตรฟ้า (celestial equator) มีความสำคัญทางดาราศาสตร์คือ ทำให้ มีช่วงเวลา กลางวัน กับกลางคืน ยาวเท่ากัน โดยที่ดวงดวงอาทิตย์จะขึ้นใกล้จุดทิศตะวันออก และ ตกใกล้ จุดทิศตะวันตก มากที่สุด ในรอบ 1 ปี จุดอิควิน๊อกซ์ มีอยู่ด้วยกัน 2 จุดคือ
1.vernal equinox (เวอนัล อิคิวน๊อกซ์) หรือ วสันตวิษุวัต ตรงกับวันที่ 21 มีนาคม
2.autumnal equinox (ออทัมนัล อิคิวน๊อกซ์) หรือ ศารทวิษุวัต ตรงกับวันที่ 23 กันยายน Galilean Satellites (กา-ลิ-เลียน-แซท-เอล-ไลท) คือดวงจันทร์ขนาดใหญ่ของดาวพฤหัส 4 ดวงคือ Io,Europa,Ganymede และ Callisto ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากโลก ซึ่งกาลิเลโอ เป็นคนแรกที่สังเกตเห็น เมื่อปี 1610 จึงตั้งชื่อให้เป็นเกียรติ
Galaxy (กาแลกซี่) เป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ ที่ประกอบด้วยกลุ่มก๊าซ และดาวฤกษ์จำนวนนับล้านล้านดวง โดยส่งแรงดึงดูดถึงกันและกัน เกาะกลุ่มกันเป็นดาราจักร Geocentric distance (จี-โอ-เซน-ทริด ดิส-แตนซ์) (delta) หมายถึงระยะทางจากวัตถุท้องฟ้าถึงโลก โดยทั่วไปจะใช้หน่วยวัดเป็น astronomical units (AU.)
Greenhouse effect (กรีนเฮ้าส์ เอฟเฟ็คท์) หรือปรากฏการณ์เรือนกระจก เกิดจากการที่ผิวของดาวเคราะห์ดูดซับแสงจากดวงอาทิตย์ แล้วแพร่คลื่นรังสีอินฟาเรด ซึ่งเป็นรังสีความร้อนออกไป ถ้าชั้นบรรยากาศประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก (เราเรียกว่า greenhouse gases) ซึ่งจะไม่ยอมให้รังสีอินฟาเรดทะลุผ่านออกไป ก็จะสะท้อนกลับมายังพื้นอีกครั้ง มีผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยบนผิวสูงมาก ตามความสัมพันธ์ของ จำนวนความหนาแน่นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยกตัวอย่างเช่น ดาวศุกร์ มีความหนาแน่นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 750 เคลวิน ส่วนบนโลกเรามี Greenhouse effect บ้างเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลพวงมาจาก กระบวนการทางเคมีของสิ่งมีชีวิต ที่คาย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมา แต่มีหลายคนเชื่อว่า ผลกระทบส่วนใหญ่ มาจากโรงงานอุตสาหกรรม ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ที่ให้โลกของเราร้อนขึ้นทุกวัน
Heliocentric distance (r) (ฮี-ลี-โอะ-เซ็น-ทริค-ดิซ-แทน) คือระยะทางจากวัตถุถึงดวงอาทิตย์ โดยทั่วไปจะบอกหน่วยเป็น astronomical units (AU.) Hour circle (เอาร-เซอคัล) หรือ วงกลมชั่วโมง คือเส้นที่ลากจากขั้วฟ้าเหนือไปขั้วฟ้าใต้ โดยที่จุดต่างๆบนเส้นวงกลมชั่วโมงจะบอกค่าของ Declination ในขณะที่ เส้นวงกลมชั่วโมงแต่ละเส้น จะมีค่า Right ascension เดียวกัน สำหรับเส้นวงกลมชั่วโมงที่ลากผ่านจุดจอมฟ้า (Zenith) มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "เส้นเมอร์ริเดียน"
Inclination (อิน-คลิ-เน-ชัน) ระนาบวงโคจรของดาวเคราะห์หรือดวงจันทร์ เมื่อเทียบกับระนาบอิคลิปติด ว่าทำมุมกันกี่องศา เช่น ดวงจันทร์ มีระนาบ 5 deg 09 min Julian Day (จูเลียน เดย์) เป็นระบบจำนวนวันแบบต่อเนื่องไม่มีการแบ่งเป็นเดือนหรือปี มักใช้ในทางดาราศาสตร์คำนวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นบนท้องฟ้า โดยวันที่ 1 January 4713 BC. เวลาเที่ยงวันตามเวลา GMT จะหมายถึงวันที่ 0 ของ julian day แนวคิดนี้ ได้มาจาก นักประดิษฐปฏิทินชาวฝรั่งเศส ชื่อ Joseph Justus Scaliger เมื่อปี คศ.1582 โดยวันที่ 1 มกราคม 1995 เวลา 18.00 น. มีค่าเท่ากับ 2,449,719.25
light year (ไลท์-เยีย) หรือ ปีแสง ย่อว่า (ly) เป็นหน่วยวัดความยาวทางดาราศาสตร์ เพราะในเอกภพวัตถุต่างๆอยู่ห่างกันมาก ไม่สามารถ บอกค่าเป็นกิโลเมตรได้ ซึ่ง1 ปีแสง มีค่าเท่ากับ ระยะทางที่แสงใช้เวลาเดินทางในอวกาศนาน 1 ปีตามเวลาบนโลก โดยที่ แสงใช้เวลาเดินทาง 300,000 กิโลเมตร ใน 1 วินาที หรือ 1,080 ล้านกิโลเมตร ใน 1 ชั่วโมง หรือ 9.46 ล้านล้านกิโลเมตร ใน 1 ปี (9.46053 × 1012 ) หรือ มีความยาวเท่ากับ 63,240 AU (astronomical unit)

เลือกที่จะมีความสุข

ถ้ารู้จักดึงศักยภาพตัวเองมาใช้อย่างเต็มที่ มนุษย์เราก็จะสามารถทำอะไรได้มากมาย
คำพูดแบบนี้หลายคนได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยครั้ง แต่มีน้อยคนที่สามารถเชื่อมโยงให้เห็นเป็นรูปธรรม นายแพทย์เทอดศักดิ์ เดชคง กลุ่มที่ปรึกษา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข สามารถพูดคุยเรื่องนี้และยกตัวอย่างได้ชัดเจน
ชีวิตบางแง่มุมของเขาน่าสนใจ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหนังสือกว่า 20 เล่ม เล่มล่าสุด ตัดสินใจเลือกที่จะมีความสุข และช่วยทำเอกสารหลายชิ้นเพื่อใช้ในกระบวนการอบรมให้กรมสุขภาพจิต
เขามีบทบาทในการบรรยายและจัดคอร์สอบรมในการให้คำปรึกษาในหน้าที่การงานของกรมสุขภาพจิตและเป็นอาจารย์พิเศษทั้งมหาวิทยาลัยหัวเฉียวและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงใช้ศาสตร์ตะวันออกพวกไทเก๊ก ชี่กง และรำกระบอง นำมาปรับใช้กับผู้ป่วยหลายโรค ปรากฏว่า ผู้ป่วยหลายคนหายป่วยเร็วขึ้น นอกจากนี้เขายังต้องรักษาผู้ป่วยทุกวันอังคารที่โรงพยาบาลยุวประสาทและจัดรายการวิทยุชุมชนคลื่นเอฟเอ็ม 89.25 เมกะเฮิรตซ์ ทุกวันพุธ เวลา ช่วงเวลา 14.30 น.
“เมื่อสิบปีที่แล้ว งานของผมต้องดูแลผู้สูงอายุ ก็เลยต้องค้นคว้าเรื่องการออกกำลังกาย ก็เริ่มไปเรียนไทเก๊กปีกว่าๆ เพื่อมาสอนผู้สูงอายุ แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่ผมเรียน ทำให้เรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องการทำงานและการใช้สมอง แล้วได้ฝึกชี่กงเพื่อนำมาปรับใช้อีก ผู้ป่วยทางกายที่เกิดจากใจอย่างพวก ไมเกรน หรือความดันสูง ภูมิแพ้หรือความเครียด แม้กระทั่งผู้ติดเชื้อ เรามีงานวิจัยเรื่องนี้ เมื่อมีการฝึกพวกนี้ทำให้สุขภาพดีขึ้น “
ความสนใจเรื่องศาสตร์ตะวันออก ทำให้คุณหมอเทอดศักดิ์เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนไข้และตัวเอง และทำให้เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งไทเก๊ก ชี่กงและรำกระบอง
“เช้าๆ ผมก็ต้องฝึกไทเก๊ก กระบอง ชี่กง แล้วก็วิ่ง เราก็เลือกเฉพาะบางท่าบางลักษณะที่เหมาะกับเรา อย่างกระบองที่ใช้ 51 ท่ารวดเร็วมาก อาจฝึกไทเก๊กก็แค่สิบนาที ชี่กงก็ประมาณ 10-15 นาที เราก็ทำเพราะรู้สึกว่าได้ประโยชน์ ผมฝึกพวกนี้มานานกว่า 10 ปี ซึ่งการฝึกพวกนี้ไม่ใช่แค่นึกถึงข้อดีอย่างเดียว ยังมีข้อเสียด้วย ถ้าฝึกผิดแนวทางหรือฝึกมากไป ก็เกิดโทษได้ เคยมีบางคนฝึกชี่กงมากไป ทำให้มีประจุไฟฟ้าทั้งตัว สัมผัสกับวัตถุได้ยากลำบาก หรือบางคนอาจนอนไม่หลับ”
คุณหมอเทอดศักดิ์บอกถึงข้อเสียบางอย่างในการฝึกฝนชี่กง ซึ่งเมื่อก่อนเขายังมีเวลาเปิดคอร์สอบรมให้คนทั่วไป แต่ปัจจุบันสอนเฉพาะผู้ป่วยที่เขาดูแล เนื่องจากมีเวลาไม่มากนัก เขาบอกว่า คนที่มีอาการวิตกกังวล ใจเต้น ใจสั่น เหงื่อออก ต้องฝึกไทเก๊กแบบลูกบอลไทเก๊ก ตัวเขาเองเคยฝึกฝนแล้วพบว่า วิธีการนี้ดีพอๆ กับการใช้ยา
นอกจากการฝึกฝนทางกายแล้ว สมาธิแนวพุทธก็เป็นสิ่งสำคัญ คุณหมอให้เวลากับเรื่องพวกนี้เต็มที่ เขาอธิบายว่า ไม่ว่าศาสตร์ใดก็ตาม ไม่อาจตอบเป้าหมายของชีวิตได้ อย่างไทเก๊ก โยคะ ชี่กง ก็แค่ตอบคำถามขั้นพื้นฐานว่า เราจะทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ถ้าถามว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรศาสตร์พวกนี้ยังตอบคำถามไม่ได้ ต้องใช้พุทธศาสนา
การประยุกต์ทั้งเรื่องศาสตร์ตะวันออกและพุทธศาสนาในเบื้องต้น คุณหมอเทอดศักดิ์บอกว่า มีส่วนทำให้คนไข้ใช้ยาน้อยลง และพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น แต่ถ้ามองในมิติลึกลงไปต้องเรียนรู้แนวพุทธศาสนา
“ผมสนใจพุทธศาสนาตั้งแต่เด็กเพราะคุณพ่อ แต่ไม่มีใครสอน เราก็ศึกษาเรื่องพวกนี้เอง ถ้ามีเวลาก็จะไปปฏิบัติที่วัดบนเขาในจังหวัดหนองคาย การฝึกสมาธิทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ตัวเอง ต้องเข้าใจว่า สาเหตุที่คนเรามีศักยภาพจำกัดก็เพราะตัวเราเอง ทั้งๆ ที่คนเรามีศักยภาพมากมาย ยกตัวอย่าง บางคนมองโลกในแง่ร้าย บางคนทำงานไปเรื่อยๆ โดยไม่ตั้งเป้าหมายในชีวิต ไม่ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ ผมก็เรียนรู้จากตรงนี้ ผมจะรู้ว่าวันนี้ผมต้องทำอะไรบ้าง ผมจะมีเป้าหมายเสมอ”
หลักการง่ายๆ ของคุณหมอก็คือ ถ้าคนเราไม่มีเป้าหมายก็ยากจะพบกับความสุข เพราะคนเราจะไม่มีความสุขกับเหตุบังเอิญได้ ในระดับคนทั่วไปขอแนะว่า ควรตั้งเป้าหมายเชิงปริมาณให้ได้ก่อน เช่น ตั้งเป้าว่าจะอ่านหนังสือวันละ 50 หน้า ก็ต้องอ่านให้ได้ 51 หน้า เพื่อให้เกิดความเคยชินว่า เราทำได้มากกว่าที่ตั้งใจ โดยเฉพาะคนเบื่องาน คือ ตื่นมาแล้วไม่อยากไปทำงาน เพราะไม่มีแรงจูงใจในชีวิต เป็นโรคเรื้อรังของคนยุคปัจจุบัน
คุณหมอแนะว่า ควรปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพราะอยู่ที่วิถีคิด อย่างคุณรอรถเมล์ คุณมีเป้าหมายอย่างไร ถ้าถามคนที่รอรถเมล์ เขาจะตอบว่า อยากให้รถเมล์มาเร็วๆ และมีที่นั่งว่าง
นี่คือความคาดหวังที่ผิด เพราะเป็นสิ่งคาดหวังที่ควบคุมไม่ได้ ใครก็ตามที่คาดหวังในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ก็มักจะผิดหวัง คุณหมอแนะว่า ควรตั้งเป้าหมายว่าถ้ารถเมล์มาคุณจะปักหลักอยู่ตรงไหน จะกระโดดขึ้นให้ทันอย่างไร ส่วนเรื่องมาเร็วหรือช้าไม่ใช่เป้าหมาย
อีกกรณีก็คือ เป้าหมายต้องสอดคล้องกับชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างคนที่เข็นเปลคนไข้ เราพบว่า คนที่มีความทุกข์ เพราะหวังว่าวันนี้เปลจะว่าง ส่วนคนที่มีความสุขจะตั้งเป้าหมายว่า วันนี้ฉันจะเข็นได้กี่ราย คนที่ตั้งเป้าหมายได้สอดคล้องกับงาน ก็จะมีความสุข
เขาบอกว่า การอบรมเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาการของมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของงานเขา เราจำเป็นต้องย่อยสลายวิธีคิดให้เป็นกระบวนการที่เรียนรู้ได้ เราต้องบอกว่าแต่ละอย่างมีการเรียนรู้และทดลองได้อย่างไร หรือมีเป้าหมายอย่างไร
“เวลามีคนถามว่า พนักงานไม่มีความสุขเพราะหาลูกค้าไม่ได้ เขาจะย้อนถามว่า แล้วมีใครบ้างที่มีความสุข คนเหล่านั้นคือคำตอบสำหรับเรา เหมือนคนเข็นเปลบอกว่า วันนี้เขาจะเข็นเปลได้สักแปดราย นี่คือคำตอบ พอเราได้คำตอบ เราก็เอาสิ่งเหล่านี้นำมาเป็นกระบวนการ ผมชอบคำพูดของเชลยศึกสงครามคนหนึ่ง เขาบอกว่าคนเราเลือกเหตุการณ์ไม่ได้ แต่เลือกความรู้สึกต่อเหตุการณ์นั้นได้ เพราะฉะนั้นเราต้องตัดสินใจว่า สิ่งใดเลือกได้ อย่างการรอรถเมล์ จะรออย่างไร”
เมื่อถามถึงการนำธรรมะมาใช้กับชีวิต คุณหมอบอกว่า ปัญหาอย่างหนึ่งคือ คนมักจะใช้ธรรมะผิดเรื่อง มันก็เลยเกิดปัญหา ยกตัวอย่างการใช้อุเบกขาในสถานการณ์ที่ต้องใช้ความเมตตา อย่างมีพนักงานคนหนึ่งมาขอขึ้นเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ หัวหน้าจะใช้เมตตาหรืออุเบกขา ถ้าใช้อุเบกขาก็คือ นั่งฟังเฉยๆ ไม่สนองอะไร หรือตอบสนองอย่างมีความเมตตา กรณีแบบนี้ หัวหน้าอาจแนะว่า คุณลองทำงานแบบนั้นแบบนี้ แล้วจะสนับสนุนเต็มที่ ในกรณีนี้ต้องมีความกรุณาด้วย ไม่ใช่วางเฉย
อีกกรณีที่เขายกตัวอย่างคือ ปู่ย่ามักจะเลี้ยงลูกหลานดีเกินไป ถ้ารู้จักสอดแทรกให้พวกเขารู้จักความเพียรพยายามในการดำเนินชีวิต ลูกหลานก็ได้เรียนรู้มุมอื่นๆ บ้าง
เพราะฉะนั้นคุณธรรมเป็นเรื่องที่ดี แต่ถามว่าจะใช้อย่างไร แล้วผลเป็นอย่างไร ถ้าผลไม่ได้ดั่งใจ ก็อย่าไปโทษว่า คนอื่นผิดหรือคุณธรรมไม่สูง
อย่างเรื่องการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ ก็มีคำอธิบาย คุณหมอยื่นช้อนมาให้ แล้วถามว่า คุณลองบิดเป็นเกลียวได้ไหม เราตอบว่า ได้ ถ้าช้อนไม่แข็งมาก เขาบอกว่า ตัวเขาเองลองบิดไปบิดมา ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
“สิ่งที่ผมให้ดูตรงนี้ก็คือ มนุษย์เรามีศักยภาพเยอะ เราสามารถบิดช้อนให้เป็นเกลียวได้ โดยเหตุผลสองประการคือ ข้อแรกต้องรู้ว่าทำอย่างไร (Know How) และข้อสอง ต้องเชื่อว่า Know How นี้เป็นไปได้ แต่ส่วนใหญ่มีข้อแรกไม่มีข้อสอง หรือบางคนอาจขาดทั้งสองอย่าง เราต้องเข้าใจว่า ประสิทธิภาพของเราเพิ่มได้โดยสองข้อนี้ ต้องนำศรัทธามาใช้ให้เกิดประโยชน์”
คุณหมอยกตัวอย่างว่า เคยมีการทดลองในคนไข้ ถ้าเขามีใจเชื่อว่าจะหายป่วย โรคของเขาจะหายได้เร็วหรือช้าปรากฏว่า สามารถหายป่วยได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ ในกระบวนการทำงานของโรคภัยไข้เจ็บ เป็นไปได้ที่เราจะใช้ศักยภาพที่มีอยู่ แต่ต้องตัดสิ่งที่รบกวนศักยภาพของเราคือ 1.ความคิด ส่วนใหญ่ชอบคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ 2.ความเครียดอารมณ์ด้านลบ เราอาจตัดสินใจผิดๆ ในตอนนั้น ยกตัวอย่างบางคนถูกยึดรถ ก็อยากจะกระโดดตึกตาย ทั้งๆ ที่มีบ้านเหลืออยู่ และ 3. สภาวะจิตใจ หมายถึงภาครวมของตัวเรา จากพื้นฐานเดิมและสิ่งที่มากระทบ
ส่วนวิธีการที่จะทำบางอย่างที่หลายคนเห็นว่าทำไม่ได้ คุณหมอบอกว่า บางอย่างเกิดจากการเรียนรู้โดยทฤษฎีหรือข้อมูล บางอย่างก็เข้าใจได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีคำอธิบาย อย่างเรื่องการบิดช้อนให้เป็นเกลียว ต้องเชื่อก่อนว่า เราทำได้
“ผมก็เคยถามคนที่ทำได้ว่าทำอย่างไร เขาบอกว่าต้องสร้างความเชื่อ ระหว่างนั้นเขาจับมันและลูบจนช้อนร้อน เพราะคนมีสมาธิ มือจะร้อน เขาก็ทำได้ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ การบิดช้อนเป็นเรื่องเล็ก ที่สำคัญเราต้องเชื่อว่า จะผ่านอุปสรรคในชีวิตไปได้ เราต้องเรียนรู้ Know How ผมเอาเรื่องพวกนี้ไปประยุกต์ใช้ สร้างกระบวนการเพื่อให้คนที่มีปัญหาผ่านอุปสรรคไปได้
ยกตัวอย่างมีหน่วยงานหนึ่งกำลังจะปลดพนักงาน 30 คน แต่ละคนจึงรู้สึกแย่ ถ้าสองปีไม่ได้ขึ้นเงินเดือนอาจต้องถูกปลด แต่ผมให้มองว่านี่คือโอกาส แล้วฝึกกระบวนการต่างๆ ให้ เช่น ตั้งเป้าหมายในชีวิต แล้วให้มองเหตุการณ์ในแง่บวก ให้เรียนรู้เข้าใจด้วยตัวเอง ใช้เวลา 1 เดือนครึ่ง เราพบว่า มีจำนวนมากกว่าครึ่งมองว่าการออกจากตำแหน่งคราวนี้เป็นเรื่องที่ดี มีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าให้ผมว่าเครียดมาก แต่วันหนึ่งได้ไปเดินเทเวศร์เห็นแม่ค้าหาบเร่คนหนึ่งมีลูกสาวคอยช่วยขายของ ทั้งๆ ที่ขายไม่ดีนัก แต่เธอก็ยังรู้สึกว่า ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นเอง เธอซื้อของกับแม่ค้าคนนั้น แล้วขอกอดลูกสาวแม่ค้าหนึ่งครั้ง เพราะทำให้เธอเข้าใจชีวิต” คุณหมอ ยกตัวอย่างคนที่สามารถตัดสิ่งที่รบกวนในชีวิตได้ แล้วคุยว่า
แม้กระทั่ง เรื่องความเครียดก็ต้องเรียนรู้ ต้องเรียนรู้ที่จะสังเกตตัวเอง อาจใช้วิธีการจดบันทึก แล้วจะรู้ว่า ตัวเรามีรูปแบบการทำอะไรซ้ำๆ ที่ทำให้ตัวเองลำบาก
“ผมให้คนไข้หญิงคนหนึ่งที่มักจะทะเลาะกับสามีเป็นประจำ เพราะเวลาจะออกไปไหน มักจะตกลงกันไม่ได้ ผมบอกให้เธอลองเปลี่ยนความคิดใหม่ บางครั้งอาจบอกสามีว่า “เห็นด้วยทำแบบที่เธอบอก” แล้วดูว่า จะเกิดอะไรขึ้น เธอย้อนว่า ทำแบบนี้ก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่เธอก็ลองปฏิบัติตามวิธีของคุณหมอ วันหยุดที่ผ่านมา เธอชวนสามีไปดูต้นไม้ที่สวนจตุจักร สามีบอกว่า "ไม่ไป จะไปมีนบุรี" เธอก็เลยบอกสามีว่า "ไปมีนบุรีก็ได้ ดีเหมือนกัน" ปรากฏว่า สามีตกใจมาก ทำไมภรรยาเปลี่ยนไป และคุณหมอบอกว่าให้สังเกตสามีว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร สุดท้ายสามีไม่กลับมาในห้องนั้น แต่ให้ลูกสาวมาบอกว่า "พ่อบอกว่า เสาร์นี้จะไปจตุจักรนะ” "
อย่างไรก็ตาม คุณหมอย้ำอีกว่า การปฏิบัติต่างจากเดิม ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลเสมอไป แต่อยากจะบอกว่า ชีวิตยังมีทางเลือกอีกหลายอย่าง

โรคห้ามใจไม่ได้

เคยเป็นบ้างไหมครับ ที่ต้องทำอะไรบางอย่างเพราะบังคับใจตัวเองไม่ได้ ก็รู้อยู่ว่าไม่ควรทำ แต่ก็ทำซ้ำๆ มีความต้องการที่จะทำซ้ำๆ เมื่อทำแล้วก็เสียใจบอกว่าจะไม่ทำอีก แต่ก็ยังทำต่อไป
วัยรุ่นบางคนบอกว่าบังคับใจไม่ให้รักเธอไม่ได้ ก็จะหัวปักหัวปำรักเธอต่อไป แม้ว่าเธอจะไม่รักเขา แต่เขาก็ยังรักเธอ ยังไปยืนรอหรือดักรอ ถึงแม้จะถูกว่าให้อายก็ยังทำ ก็เข้าข่ายทำไปเพราะบังคับใจไม่ได้
ผู้ใหญ่บางคนบอกว่าจะไม่ออกไปเที่ยวกลางคืน พอตกกลางคืนก็จะต้องออกไปเที่ยวทุกที แม้จะไม่มีเงินทองใช้จ่าย ก็ขอออกไปเดินดูในสถานที่เที่ยวกลางคืนที่เคยไปเที่ยวก็ยังดี ก็เข้าข่ายทำไปเพราะบังคับใจไม่ได้เช่นกัน
คนบางคนเจ้าระเบียบมาก ต้องการเป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) ย้ำคิดย้ำทำ ขาดการแสดงออกที่อบอุ่นต่อคนอื่น มักจะสนใจในรายละเอียดของคนอื่น หรือสนใจกฎเกณฑ์กติกาเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ใช่ปัญหาสำคัญ ต้องการให้คนอื่นทำตามเขาโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น พวกนี้จะอุทิศตนให้งานและผลงานของการทำงาน โดยไม่คำนึงถึงความสุขหรือคุณค่าของมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่น ส่วนใหญ่มักตัดสินใจไม่ค่อยได้หรือตัดสินใจช้า เพราะกลัวการตัดสินใจผิด เจ้าตัวก็ทุกข์ คนข้างๆ ตัวก็รำคาญ นี่ก็เข้าข่ายทำไปเพราะบังคับไม่ได้เช่นกัน
ความต้องการที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ โดยบังคับใจไม่ได้นั้น ทางจิตเวชเรียกว่าเป็นพฤติกรรมย้ำทำ (Compulsion) เชื่อกันว่ามีรากฐานมาจากการพัฒนาตั้งแต่วัยเด็กที่ไม่เหมาะสม กล่าวคือ ในช่วงเด็กอายุ 2-3 ขวบนั้น เด็กจะมีความพอใจอยู่ที่ทวารหนัก เขาจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าที่สามารถครอบครองอุจจาระได้ จะถ่ายก็ได้หรือจะกลั้นไม่ให้ถ่ายก็ได้ เป็นการแสดงความเป็นตัวของตัวเองได้ การกลั้นอุจจาระไว้เป็นการแสดงความก้าวร้าวชนิดหนึ่ง เพราะสามารถทำให้พ่อแม่ผิดหวังได้
วัยนี้เรียกว่าเป็น Anal Period เด็กจะรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของอุจจาระ เป็นความรู้สึกครอบครองสิ่งของครั้งแรก และเขาจะรู้สึกอยากเป็นเจ้าของอื่นๆ อีกด้วย เช่น ของเล่น
ถ้าความต้องการของเด็กถูกขัดขวาง เขาจะมีความคับข้องใจ (Frustration) เด็กวัยนี้ชอบการละเลงอุจจาระเล่นด้วย ถ้าพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงดุว่าเพราะรำคาญ หรือห้ามไม่ให้เล่นหรือทำโทษ เขาจะรู้สึกไม่พอใจ เกิดเป็นความคับข้องใจ อาจจะกลั้นอุจจาระบ่อยๆ หรือเกิดเป็นบุคลิกภาพที่ไม่ดีตามมา ที่เรียกว่าเป็น Anal Character เช่น เป็นคนหวงแหน เห็นแก่ได้ ขี้อาย ก้าวร้าว สกปรก เจ้าระเบียบ ใฝ่สมบูรณ์หรือมีความผิดปกติทางอารมณ์ต่อไป
พวกที่มีลักษณะความคับข้องใจจากการใช้ก้น (Anal Frustration) นี้ จะมีลักษณะบังคับใจตัวเองไม่ค่อยได้ ต้องทำอะไรบางอย่างซ้ำๆ เพราะบังคับใจตัวเองไม่ได้ บางกิจกรรมเป็นความทุกข์มากๆ
โรค "ต้องทำ…เพราะห้ามใจไม่ได้" บางอย่างเป็นความผิดปกติมากๆ เช่น บางคนมีความต้องการจะดื่มสุราตลอดเวลา (Dipsomania) หักห้ามใจตัวเองไม่ได้กลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
ความหมกมุ่นกับเรื่องของตัวเองอย่างผิดปกติ (Egomania) ย้ำคิดแต่เรื่องของตัวเอง ไม่สามารถเปลี่ยนแนวคิดไปสู่คนอื่นหรือธรรมชาติรอบๆ ตัวได้ พูดซ้ำๆ แต่เรื่องของตัวเองเป็นที่น่าเบื่อหน่าย รำคาญ แก่บุคคลรอบข้าง
หมกมุ่นกับเรื่องทางเพศอย่างมากผิดปกติ (Erotomania) วันหนึ่งๆ มีแต่เรื่องเพศ ทั้งความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรม เสียเวลามากและไม่สร้างสรรค์
ความต้องการขโมยของโดยบังคับใจไม่ได้ (Kleptomania) ผมเคยมีคนมาปรึกษาว่า เขามักไปหยิบของตามห้างโดยบังคับใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนมีเงินและเป็นลูกคนมีชื่อเสียง ซึ่งน่าเห็นใจมาก เป็นสิ่งผิดกฎหมายและถ้าถูกจับได้ก็เป็นเรื่องน่าอาย
ความคิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่โต มีอำนาจ (Megalomania) ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นคนธรรมดาสามัญ เข้าข่ายคุยโต คิดใหญ่โตเกินความเป็นจริงและคิดตลอดเวลา

การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างผิดปกติ (Monomania)
ความต้องการที่จะร่วมเพศบ่อยๆ อย่างห้ามใจไม่ได้ในหญิง (Nymphomania) ความต้องการนี้สูงมาก และเธอจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ร่วมเพศ เช่น ให้ท่า ฉกฉวยโอกาส พบได้แม้แต่ในผู้หญิงชั้นสูง ร่ำรวยหรือมีการศึกษาดี
ความต้องการที่จะร่วมเพศโดยไม่สามารถยับยั้งได้ในชาย ก็เหมือนกับในเพศหญิงแลดูเป็นคนสำส่อน ห้ามใจไม่ได้ มักมากในเซ็กซ์ ไม่เคยหยุดและไม่เคยพอ
การอยากดึงผมหรือถอนผมอย่างบังคับใจไม่ได้ (Trichotillomania) บางคนถอนจนผมแหว่งเป็นวงกลม ต้องใส่ผมปลอม แต่ก็ยังห้ามใจไม่ให้ถอนผมไม่ได้ ต้องมาปรึกษาแพทย์
การห้ามใจไม่ได้นี้เป็นเรื่องน่าเห็นใจมาก และทรมานใจตัวเองที่ไม่สามารถห้ามใจได้ อาการก็มีตั้งแต่น้อยๆ จนถึงมากๆ ซึ่งเข้าข่ายเป็นความเจ็บป่วยทางจิต บางอย่างก็ผิดกฎหมาย บางอย่างก็น่าอับอาย
วิธีการรักษาและช่วยเหลือก็มีหลายวิธี ส่วนใหญ่จะใช้วิธีวิเคราะห์ทางจิตร่วมกับการใช้ยาช่วย และแนะนำให้มีวิธีระบายความก้าวร้าว หรือความย้ำทำอย่างเหมาะสม
ลองพิจารณาตัวเองซิว่ามีอะไรที่ย้ำทำบ้างไหม หรือมีสิ่งใดที่ต้องทำโดยไม่สามารถห้าใจตัวเองได้บ้างไหม ถ้าเลิกไม่ได้และเป็นอันตราย แก่ตัวเอง หรือน่าอับอาย ก็คงต้องปรึกษาจิตแพทย์แล้วละครับ
กรณีที่เข้ามาปรึกษาที่คลินิกบ่อยๆ ก็ได้แก่พวกที่ ถอนผมตัวเองบ่อยๆ ชนิดห้ามใจไม่ได้หยิบ หรือขโมยของตามห้างแบบห้ามใจไม่ได้ส่วนใหญ่บุคคลเหล่านี้มักจะมีฐานะดี ครอบครัวดี มีการศึกษา แต่จากการที่มีพ่อแม่เจ้าระเบียบมาก ชอบสั่งสอน ชอบตักเตือน หรือดุว่าลงโทษบ่อยๆ ตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้เด็กมีความกลัวการทำผิด ขาดความสุขในการดำเนินชีวิต วิธีที่จะหนีจากความรู้สึกไม่เป็นสุขในชีวิตจึงเป็นวิธีที่เขาพัฒนาขึ้นมาอย่างผิดๆ
พวกที่ถอนผมเป็นประจำรู้สึกว่าได้ลงโทษตัวเองและพ่อแม่ไปด้วย เพราะตัวเองก็จะไม่สวยและพ่อแม่ก็ต้องอับอาย
พวกที่ขโมยของตามห้างก็เหมือนกับการทำผิดเพื่อให้พ่อแม่อายและตัวเองอาจจถูกลงโทษตามกฎหมายด้วย เป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น ซึ่งก็รู้ว่าไม่ควรทำ มันไม่ถูกต้อง มันผิด แต่ในจิตใต้สำนึกจะต้องการถูกลงโทษ แม้ว่าจิตสำนึกจะรู้ตัวว่าการกระทำสิ่งนั้นเป็นความไม่เหมาะสม และรู้ว่าไม่ชอบการถูกลงโทษก็ตามที
อาการย้ำทำเพราะห้ามใจไม่ได้นี้ คนภายนอกจะมองว่าน่าเปลี่ยนแปลงได้ง่ายหรือช่วยเหลือรักษาได้ง่ายๆ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เพราะกลไกในการมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนี้ มีรากฐานมาจากการพัฒนาตั้งแต่วัยเด็กโดยเขาไม่รู้ตัว และสะสมเอาไว้นานมาก
การอบรมเลี้ยงดูลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ลูกเติบโต สามารถพัฒนาจิตใจและพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม แต่ก็มีพ่อแม่ให้ความสนใจกันน้อยมาก ส่วนใหญ่จะนึกถึงการพัฒนาทางฝ่ายกาย หรือเชื่อเรื่องดวงชะตาของเด็กจากการทำนายทายทัก
ในสังคมเราจะเห็นผู้คนที่มีร่างกายสมบูรณ์ แต่เชื่อถือในสิ่งที่ลี้ลับกันมากขึ้นและมีจิตใจที่พัฒนาไม่เหมาะสมมากขึ้น ความเจ็บป่วยทางจิตใจหรือทางจิตเวชจะมีมากขึ้นๆ
คนยิ่งอายยิ่งไม่กล้าไปปรึกษาผู้รู้ ก็จะสะสมความเจ็บป่วยเอาไว้มากขึ้นๆ ขนาดคนดีๆ หลายๆ คน เตรียมไปอยู่โลกอื่นกันแล้ว เพราะเชื่อคำทำนายทายทักที่แปลกๆ
สังคมของคนคิดแปลกๆ และทำอะไรแปลกๆ จะมีมากขึ้นคอยดูซิ

โรครำคาญ

คงจะแปลกและแปร่งกับคำว่า ความเปล่า ผมหมายความตามนั้นจริงๆ คือ ไม่ใช่ความว่างเปล่า และไม่ใช่ความเปล่าเปลี่ยว เป็นความเปล่าจริงๆ
ผมรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง เธออายุเฉียด 40 แต่ยังสวย แต่งกายดีมีรสนิยม เธอดูแลรูปร่างและผิวพรรณได้ดีมาก ฐานะก็ดี การศึกษาดีเคยผ่านต่างประเทศ และมีสามีรวย แถมเอาใจเธอด้วย หาไม่ได้ง่ายๆ หรอก เธอมีลูก 2 คน ส่งไปเรียนเมืองนอกทั้งคู่ เธอมาปรึกษาผมด้วยความรู้สึกรำคาญที่ตัวเองปล่อยเวลาไปวันหนึ่งๆ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีค่านัก
เธอเคยทำงานประจำ ขณะนี้ไม่ทำแล้วเพราะต้องคอยดูแลบ้านที่กว้างใหญ่ และไปงานสังคมกับสามีบ้าง ใครๆ ก็คิดว่าเธอสบายและมีความสุข แต่เธอไม่สุขและไม่สบาย เธอรู้สึกว่าตัวเองลดความมั่นใจตัวเองลงเรื่อยๆ เวลาพบใครๆ ก็ไม่อยากคุยด้วย เธอบอกว่าไม่มีเรื่องจะคุยกับใครๆ เขา รู้สึกเก้อๆ เขินๆ อายๆ ชอบกล ทั้งๆ ที่มาดของเธอนั้นออกจะเปรี้ยวและดูว่าไม่น่าอายเลย แต่เธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ความไม่มั่นใจตัวเองมีมากขึ้น ทำให้เกิดความระแวงว่าคงไม่มีใครอยากคบเธอ เพื่อนจึงน้อยลงๆ เธอเริ่มมองเห็นความน่าเบื่อของตนมากขึ้น พร้อมๆ กับมองเห็นความน่าเบื่อของเพื่อนมากขึ้น เธอคิดวนๆ เวียนๆ เกี่ยวกับตัวเองและความเปล่าประโยชน์ของตัวเอง จนกลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ มีความวิตกกังวลมากขึ้น ขีดจำกัดของความอดทนต่อความผิดปกติทั้งของสถานที่และเพื่อนมนุษย์ดูๆ จะลดน้อยลง คือเธอจะทนคนอื่นไม่ค่อยได้ ขี้รำคาญ หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย เวลาผ่านสถานที่ที่ไม่ถูกตา ไม่ถูกกลิ่น ก็ทนไม่ได้ รำคาญมากขึ้น หงุดหงิดมากขึ้น
เธอเริ่มมีอาการจิต-สรีระแปรปรวน (Psycho Somatic Disorders) ร่วมด้วย เช่น ปวดหัวบ่อยๆ ปวดท้อง กระเพาะอาหารเกร็ง ปัสสาวะบ่อยๆ และที่สำคัญคือ ไม่มีความสุข รำคาญตัวเอง รำคาญสิ่งแวดล้อม เธอบอกว่าไม่รู้จะหนีไปอยู่ที่ไหนเหมือนกัน เธอเคยไปอยู่ต่างประเทศมาหลายครั้งและหลายประเทศแล้ว แต่ก็ยังไม่ช่วยให้ดีขึ้น เธอมีประวัติครอบครัวมาจากครอบครัวที่พ่อดุ เจ้าอารมณ์ และแม่ขี้บ่น พี่น้องไม่ใกล้ชิดกัน มนุษย์สัมพันธ์จึงไม่ค่อยดี แต่อาศัยที่เธอมีความสวยและมีรสนิยม แต่งกายดี จึงมีคนมาจีบ หรือมาสร้างมนุษยสัมพันธ์กับเธออยู่เรื่อยๆ ซึ่งเธอก็ให้บ้าง ไม่ให้บ้าง ตามแต่ใจ ทุกวันนี้จริงๆ แล้วเธอก็ไม่รักใครมากๆ หรอก แต่ก็ไม่เกลียดใครมากๆ เช่นกัน เป็นแค่รำคาญ เธอบอกว่าเธอเป็นโรคขี้รำคาญ ซึ่งก็คงจะจริง เพราะเธอรำคาญทั้งคนอื่นและตัวเอง
ผมถามว่าเธอมีสิ่งใดในชีวิตที่พอใจและภูมิใจบ้าง เธอบอกว่าไม่มีหรอก เธอรู้สึกเฉยๆ ทั้งอดีตและปัจจุบัน ผมพยายามจะให้เธอนึกถึงความพอใจและความภูมิใจตัวเองบ้าง แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย เธอก็บอกว่าไม่มีหรอก เพราะทุกอย่างที่เธอมีหรือเป็นอยู่ แม้จะมีใครๆ บอกว่าเป็นสิ่งดีๆ แล้ว เธอก็ยังบอกว่าธรรมดาๆ เฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร ผมแนะนำให้เธอลดตัวลง ถ่อมใจลงบ้าง เพื่อจะได้มองเห็นจุดภูมิใจของตัวเองได้บ้าง จะได้ลดความรำคาญตัวเองได้บ้าง อย่าคาดหวังว่าถ้าเป็นความภูมิใจแล้วจะต้องทำกิจกรรมใหญ่ๆ ได้สำเร็จจึงจะภูมิใจ เธอบอกว่าเธอก็ถ่อมตัวอยู่แล้ว จนมองอะไรๆ เป็นธรรมดาๆ หรือเฉยๆ ไปหมด ผมบอกว่าเธอไม่ค่อยถ่อมตัวหรอก แต่เธอหยิ่งหรือยกตัวต่างหาก เพราะเธอมองข้ามจุดดีๆ ของชีวิตไปหมด ไม่เกิดความซาบซึ้งในการจะมีชีวิตอยู่ขาด Life Appreciation ไม่มีมุมมองที่นับถือตัวเอง ไม่มีมุมมองชีวิตที่ภูมิใจตัวเอง ทำให้ขาดศรัทธาตัวเอง ขาดความหวังที่ดีๆ ต่อชีวิต ขาดพลังและกำลังใจในการดำเนินชีวิต ขาดแรงบันดาลใจที่จะคิดทำสิ่งใหม่ๆ ที่น่าสนใจในชีวิตประจำวัน ขาดความตื่นเต้น (Excitement) ในชีวิต และที่เธอบอกว่า เธอรู้สึกเฉยๆ นั้นไม่จริงหรอก แต่เธอรู้สึก "รำคาญ" ชีวิตต่างหาก ชีวิตจึง เหงา หงอย เปล่า และเปลี่ยว ไม่สนุก ไม่ร่าเริง ไม่เบิกบาน ไม่สดชื่น และไม่สร้างสรรค์
ผมไม่เชื่อว่ามนุษย์จะรู้สึก "เฉยๆ" ต่อสิ่งต่างๆ ได้ง่ายๆ หรอก มนุษย์มีอารมณ์ มีความรู้สึก มีความคิด สิ่งต่างๆ ที่กระทบตัวเองจะทำให้เกิดความรู้สึกและความคิดได้หลากหลายแตกต่างกัน ส่วนใหญ่มักแปรเป็นความรู้สึกชอบและไม่ชอบ การจะทำให้ความรู้สึก "เฉยๆ" ได้นั้นต้องใช้เทคนิคการทำสมาธิ (Caim Meditation) หรือทำสูงกว่านั้นก็คือ วิปัสสนากรรมฐาน (Insight Meditation) ซึ่งต้องมีทั้งการฝืนและฝึกอย่างแรง ทั้งทางด้านความคิด สติ และปัญญา จึงรู้สึกเฉยๆ ได้จริงๆ คือเกิดการปล่อยวางได้ แนวโน้มจะไปนิพพานจะได้มีมากขึ้น คนธรรมดาๆ จึงรู้สึกเฉยๆ ได้ยาก คนที่พูดว่ารู้สึกเฉยๆ บ่อยๆ นั้น จึงมักเป็นคนหยิ่ง, ยกตัว, เกร็ง, ไม่รับความจริง หรือเป็นคนที่อยู่ในอารมณ์ซึมเศร้ามากๆ จึงมีความรำคาญความรู้สึกและอยากปฏิเสธความรู้สึก แต่ไม่ใช่รู้สึกหรือรู้สึกเฉยๆ จริงๆ หรอก ซึ่งผมขอเรียกภาวะของความรู้สึกนั้นว่าเป็นความเปล่า คนที่มี "ความเปล่า" อยู่ในตัวบ่อยๆ นี้ไม่ใช่ของดีหรอก เปรียบเสมือนมีตัวมอดที่กัดกินเยื่อไม้ หรือชีวิตของคนเราอยู่ ชีวิตจะขาดความกระชุ่มกระชวยไม่สร้างสรรค์ วิธีจะลดความเปล่าลงได้ต้องลดความหยิ่งลง ลดการคาดหวังลง มองหาความภาคภูมิใจในชีวิตตัวเองให้ได้ จะได้เกิดมุมมองชีวิตที่นับถือตัวเองได้ จะได้เกิดพลังที่จะดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติและสร้างสรรค์ แม้คนภายนอกเขาจะมองว่าคุณมีความพร้อมมากมายเพียงใด แต่ถ้ามี "ความเปล่า" ในจิตใจบ่อยๆ เราก็จะมีชีวิตอยู่กับความเหงาหงอย เปล่าเปลี่ยว และทีสำคัญ… คุณจะรู้สึกรำคาญชีวิต ทั้งของตนเองและสิ่งอื่นๆ ได้มากกว่าคนทั่วไป
วิธีการช่วยเหลือทางจิตเวชคงจะช่วยได้บ้าง แต่ต้องหมายความว่าคุณต้อง "อยาก" จะช่วยตัวเองด้วยนะครับ

โรคประสาท

ในบรรดาผู้ทุกข์ที่มาปรึกษาผมที่คลินิก ดูๆ แล้วจะมีผู้ทุกข์ที่เป็นโรคประสาทมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น สตรีสาวสวยคนหนึ่ง มีการศึกษาดี มาปรึกษาด้วยอาการขาดความมั่นใจตัวเอง คิดมา เพราะเห็นแฟนมีความก้าวหน้ามากกว่าตน กลัวว่าเขาจะไปชอบคนอื่น กลัวว่าตนจะถูกทอดทิ้ง ต้องให้แฟนโทรศัพท์มาหาบ่อยๆ ถ้าเขาไม่โทรมาหาก็จะกังวลและรอคอยจนเป็นทุกข์ เวลาพบกันก็อยากให้เขาเอาใจ เขาทำงานดึกดื่นก็ต้องให้เขาขับรถมาหา และมีความสัมพันธ์ทางเพศกันแล้วจึงจะให้กลับไปได้ ถ้าแฟนไม่มาหาก็ไม่สบายใจ มีความทุกข์มาก
ในช่วงที่มีเซ็กซ์ก็ไม่ได้มีความสุข เมื่อเสร็จสิ้นแล้วก็กังวลว่าตัวเองทำผิดไปหรือเปล่า กลัวเขาจะรำคาญและไม่รักจริง
อีกคนหนึ่งเป็นชายวัย 30 เศษ มีการศึกษาและการงานดี มีความทุกข์ในเวลาที่เห็นศาลพระภูมิแล้วจะกังวลและกลัวมาก เวลาไปเยี่ยมเพื่อนหรือไปตามที่ทำงานต่างๆ พอเห็นศาลพระภูมิพาลจะเป็นลม หน้าซีด ใจสั่น หมดแรง นี่เป็นความวิตกกังวล กลายเป็นโรคประสาทชนิดหวาดกลัว เพราะในจิตใต้สำนึกจะกลัวพ่อมาก ถูกเลี้ยงดูมาให้กลัว หรือพ่อก้าวร้าว ดุมาก ลูกชายจึงกลัวพ่อแล้วย้ายความกลัวนั้นมาที่ศาลพระภูมิ ซึ่งเป็นตัวแทนของพ่อ จึงทำให้เขาหวาดกลัวศาลพระภูมิมาก
บางรายเป็นสตรีที่กังวลและกลัวกระบอกปืนมาก บางรายกังวลมากเมื่อเห็นไส้กรอก เนื่องมาจากสิ่งดังกล่าวเป็นตัวแทนของอวัยวะเพศชาย เนื่องจากเธอมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ และอวัยวะเพศชายตลอดมา เธอจึงย้ายความกลัวนั้นไปสู่วัตถุที่เป็นตัวแทนของอวัยวะเพศชายแทน เช่น กระบอกปืน ไส้กรอก หรืองู ซึ่งถือว่าเป็นโรคประสาทชนิดหวาดกลัว (Phobic Neurosis) ได้
โรคประสาทนี้เกิดได้มากในหมู่คน เป็นความผิดปกติทางจิตที่ไม่รุนแรงเท่าโรคจิต (โรคบ้า) ผู้ทุกข์ยังรู้จักตนเองดี ยังรู้ว่าทุกข์ ยังแสวงหาผู้ช่วยเหลือ ยังรับรู้ความจริง (Reality) ได้ ยังเป็นที่ยอมรับของสังคมได้
โรคประสาทเกิดจากการปรับอารมณ์และความคิดได้อย่างไม่เหมาะสม เมื่อเกิดความขัดแย้งในใจ อาการที่พบได้บ่อยๆ เช่น วิตกกังวลมากเกินไป หวาดกลัวอย่างไม่สมเหตุสมผล ซึมเศร้ามาก ย้ำคิดย้ำทำ ขาดความสุข ฯลฯ

สาเหตุของโรคประสาท
เชื่อว่าเกิดได้จากสาเหตุดังนี้
1. มีบุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสม มีแนวโน้มที่จะปรับตัวได้ยากเมื่อเกิดปัญหา ความกดดัน ความขัดแย้ง มาจากการเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็ก และประสบการณ์ที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่วัยเด็ก เช่น
คนที่ชอบเป็นคนสมบูรณ์แบบ มักจะเป็นโรคประสาทชนิดย้ำคิดย้ำทำ
คนที่เรียกร้องความรักและความสนใจมาก มักเป็นโรคประสาทชนิดฮีสทีเรีย
คนที่คิดถึงตัวเองในแง่ปมด้อย มักจะเป็นโรคประสาทชนิดซึมเศร้า
คนที่มีความคาดหวังสูงเกินความเป็นจริง มักจะเป็นโรคประสาทชนิดวิตกกังวล
คนที่ถูกเลี้ยงดูมาให้มีความหวาดกลัวพ่อแม่มากๆ มักจะเป็นโรคประสาทชนิดหวาดกลัว ฯลฯ
2. จากประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิต ทำให้เกิดเป็นรอยจารึก ที่ไม่ดี เกิดความฝังใจและเป็นความทุกข์ต่อไป เช่น ถ้าถูกทอดทิ้งโดยคนรัก อกหัก จะฝังใจต่อภาวะอกหัก และกลัวการมีแฟน จะเครียดได้ง่าย เมื่อต้องอยู่กับคนต่างเพศ หรือถ้าเด็กๆ เคยถูกเพื่อนล้อเลียนลักษณะด้อยบางอย่าง จะฝังใจและกังวลกลัวการถูกล้อเลียนได้ การที่มีความคับข้องใจและหาทางออกแบบไม่เหมาะสมนี้ จะทำให้กลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีได้ เช่น กังวลมาก กลัวมาก
3. จากกรรมพันธุ์ และสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ถ้ามีคนที่เป็นโรคประสาทอยู่ใกล้ตัว จะทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น

ชนิดของโรคประสาท
แบ่งได้เป็นหลายๆ อย่างดังนี้
1. โรคประสาทชนิดกังวล (Anxiety Neurosis) จะมีความกังวลมากกว่าปกติ มีความตึงเครียดมาก
2. โรคประสาทฮิสทีเรีย (Hysterical Neurosis) เป็นลักษณะของความวิตกกังวลที่เปลี่ยนไปเป็นความเจ็บป่วยพิการทางกาย เช่น ชักโดยไม่มีสาเหตุ หรือเป็นอัมพาตโดยไม่มีสาเหตุ หรืออาจจะเปลี่ยนจากความวิตกกังวลกลายเป็นคนมีผีเข้าเจ้าสิงก็ได้
3. โรคประสาทชนิดหวาดกลัว (Phobic Neurosis) จะมีความหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว เช่น กลัวความสูง กลัวสัตว์บางชนิด กลัวฝูงคน ฯลฯ
4. โรคประสาทชนิดย้ำคิดย้ำทำ (Obscessive Compulsive Neurosis) ชอบคิดซ้ำๆ ทำซ้ำๆ เช่น คิดว่ามือสกปรกต้องล้างมือบ่อยๆ หรือเช็คดูความเรียบร้อยของกลอนประตูหน้าต่างบ่อยๆ จนเป็นทุกข์ เป็นต้น
5. โรคประสาทชนิดซึมเศร้า (Depressive Neurosis) จะมีความซึมเศร้ามากกว่าปกติ โดยเฉพาะเวลาสูญเสียสิ่งรัก
6. โรคประสาทที่คิดว่าตัวเองด้อยความเป็นคนลงไป (Depersonalization) เช่น คิดว่าตนเองมีแขน ขา สั้นลงๆ หรือมีขนาดร่างกายเล็กลงๆ
7. โรคประสาทชนิดอ่อนเพลียง่าย (Neurasthenia) พวกนี้มักรู้สึกอ่อนเพลียง่ายหงุดหงิด ปวดหัว ซึมเศร้า ขาดสมาธิ รู้สึกสุขภาพไม่ดี หมดกำลังใจลงเรื่อยๆ
8. โรคประสาทแบบหมกมุ่นกับสุขภาพมากไป (Hypochondriasis) ผู้ป่วยจะมีอาการหมกมุ่น และย้ำคิดย้ำทำเกี่ยวกับสุขภาพหรือสุขภาพจิตมากไป และมีอาการทางร่างกายร่วมไปด้วยโดยหาเหตุผลไม่ได้ พวกนี้มีลักษณะรักตนเองมากเกินปกติ จะนึกถึงตนเองและร่างกายตนเองมากเกินไป จะรู้สึกป่วยในขณะที่คนอื่นไม่รู้สึกอะไร มักเป็นคนเจ้าระเบียบ ระแวงสงสัย ไม่แน่ใจสิ่งแวดล้อม อาจมีประสบการณ์พบเห็นคนในครอบครัวเจ็บป่วย ตนเองมีความกดดันทางจิตและสังคม จึงคอยนึกว่าตนเองจะเจ็บป่วยไปด้วย มักไปหาแพทย์เพื่อตรวจโรคที่ตนมีอาการ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ คนไข้ไม่พอใจหมอ บางรายโต้เถียงเป็นเรื่องราวกันก็มี หาว่าแพทย์ตรวจไม่ดี บริการไม่ดี ความเจ็บป่วยที่คิดไปเองเหล่านี้ จะทำความรำคาญให้คนใกล้ชิดด้วย ผู้ป่วยมักจะวิตกกังวลคละเศร้าอยู่เสมอ
การรักษาโรคประสาทนั้นต้องอาศัยการใช้ยา การใช้จิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัด บางรายก็หายได้ง่าย บางรายก็หายได้ยาก โดยเฉพาะพวกที่ต่อต้านหรือไม่ให้ความร่วมมือ
โรคประสาทนี้เป็นกันมากในสังคม และจะเป็นกันมากขึ้นๆ ลองๆ เหลียวดูรอบๆ ตัวเองซิว่ามีคนเป็นโรคประสาทกี่คนแล้ว และตัวเองเป็นด้วยหรือเปล่า ?

โรคติดต่อทางอารมณ์

คุณทราบหรือไม่ว่า อารมณ์ของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ติดต่อกันได้ คุณอาจจะเคยได้ยิน แต่โรคที่ติดต่อทางกาย เช่น หวัด วัณโรค หรืออหิวาตกโรค แต่คุณอาจจะไม่เคยได้ยินว่า อารมณ์ของคนเราก็ติดต่อกันได้เช่นกัน โดยเฉพาะอารมณ์ร้ายหรืออารมณ์ที่มีพิษ มักจะแพร่ขยายได้เร็ว บางทีอาจเร็วยิ่งกว่าเชื้อโรคทางกายเสียอีก และที่ร้ายกว่านั่นก็คือ การแพร่ขยายของอารมณ์ที่ไม่ดีทั้งหลายสามารถส่งผ่านจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันยังได้เลย ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ก็ได้ สมมุติว่าคุณกำลังรถติดอยู่ พอเห็นสัญญาณไฟเขียวแค่วินาทีแรก รถคันหลังก็เกิดอาการประสาทบีบแตรเร่ง ทั้งๆ ที่คุณก็ไม่ได้ช้าอะไรเลย คุณย่อมรู้สึกโกรธ ต่อมแอดรีนาลีนของคุณเริ่มทำปริกิริยาตอบโต้ คุณเข้าเกียร์อย่างแรง กระแทกคันเร่ง รถคุณพึ่งปราดออกไปปาดหน้ารถคันหน้าทำให้เกือบจะชนกัน เจ้าของคนคันหน้าด่าคุณโขมงโฉงเฉง เมื่อกลับถึงบ้านความโกรธที่ยังไม่หายไป ทำให้คุณไประบายออกด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ และคำพูดที่แสดงความก้าวร้าวเอากับภรรยาและลูกๆ ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย ฯลฯ นี่เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ที่แสดงให้เห็นว่า อารมณ์ที่เป็นพิษเมื่อเกิดขึ้นกับใครคนหนึ่งแล้ว มักจะมีการแพร่ขยายเป็นโรคติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเรารู้จักคนที่มีพิษ คนที่มักเป็นเจ้าของอารมณ์บูดทั้งหลาย หากเราไปอยู่ใกล้ เช่น ต้องทำงานร่วมกับเขา หรือต้องอยู่บ้านเดียวกันละก็ รับรองได้เลยว่าชีวิตคุณคงจะตกที่นั่งไม่ใคร่มีความสุขนัก เพราะแค่ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้น ก็มีอิทธิพลทำให้คุณรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ได้ไม่ยากเลย ทั้งนี้เพราะมนุษย์เราสามารถรับสื่อที่เป็นคล้ายพลังงานทางอารมณ์ทั้งร้อนและเย็นจากผู้อื่นได้ง่ายมาก และเราก็มักจะได้ผลกระทบจากพลังงานเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกก็ตาม ลองสังเกตดูก็ได้ว่า บางครั้งเราไปกราบพระที่ท่านมีธรรมมะระดับสูงๆ เพียงแค่เห็นหน้าของท่าน เราก็จะรับรู้ถึงกระแสแห่งความเย็นที่มากระทบจิตของเรา บางครั้งทำให้จิตที่รุ่มร้อนของเราคลายลง ได้อย่างประหลาด ในทางกลับกัน คนบางคนเป็นคนร้อน อยู่ใกล้หรือไกลก็จะรู้สึกอึดอัด ทั้งๆ ที่เขาอาจจะยังไม่ทันได้พูดอะไรกับเราเลยก็ได้ นอกจากนี้ คุณคงเคยดูโทรทัศน์ที่เป็นภาพยนต์ตลก และผู้สร้างจะปล่อยเสียงหัวเราะ ของผู้ดูรายการให้ดังเข้ามาในการแสดงด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะเสียงหัวเราะเป็นการติดต่อทางอารมณ์ได้ง่ายที่สุด เช่น ถ้าในห้องมีใครคนหนึ่งเริ่มต้นหัวเราะ จะมีคนอื่นๆ หัวเราะตามไปด้วยหมด (ดังนั้นผู้เขียนคิดว่า ถ้าท่านพูดอะไรที่ไม่แน่ใจว่าจะตลกหรือไม่ แต่ให้มีหน้าม้าทำหน้าที่หัวเราะไว้ก่อน สักประเดี๋ยวเดียวก็จะเห็นว่า ทุกคนในห้องร่วมหัวเราะไปกับท่านด้วย) ถ้าเป็นเรื่องของ "อารมณ์ในทางสร้างสรรค์" การระบาด หรือติดต่อทางอารมณ์ดูจะเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราคิดว่า ถ้ามนุษย์เรามีความรู้สึกร่วมในอารมณ์กับผู้อื่นได้ จะช่วยทำให้สังคมของเรา มีการเข้าใจกันมากขึ้น เพราะคนในสังคมรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รับรู้ความรู้สึกทางจิตใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เช่น ถ้าเขาเศร้า เสียใจ หรือดีใจ เราก็เศร้าหรือดีใจไปกับเขา ถ้าเป็นเพื่อความเข้าใจของมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่ควรพยายามทำให้เกิดมากขึ้น แต่ทุกอย่างย่อมต้องการความพอดี หรือทางสายกลางตามแบบพุทธศาสนา แม้ว่าการเอาใจเขา มาใส่ใจเราจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม แต่ถ้าเราทำจนเกินพอดี เช่น นำตัวเราเข้าไปรู้สึกเหมือนเขา 100% ก็คงจะไม่เป็นการดีนัก เพราะจะทำให้เราขาดความเป็นกลาง สมมุติว่า คนรักของเราไม่ชอบหัวหน้างานของเรา และเราก็ทำตัว "พลอย" เกลียดตาม ทั้งๆ ที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย การพลอยเกลียด พลอยรัก พลอยแค้น ฯลฯ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีนัก ถ้าเช่นนี้ แสดงว่าเราเอาใจเราเข้าไปเกี่ยวข้องมากเกินพอดี และอะไรที่เกินพอดี ก็มักจะไม่ใคร่ดีนัก แต่ลักษณะเช่นนี้มักจะมีในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย บางทีเราจะพบว่า แม่ยายจะโกรธลูกเขยแทนลูกสาว เมื่อลูกสาวมาฟ้องเรื่องลูกเขย และบ่อยครั้งที่ลูกเขยและลูกสาว เขาดีกันเรียบร้อยแล้ว แต่คุณแม่ยายก็ยังหงุดหงิดกับลูกเขยอยู่ก็มี
นอกจากการติดต่อกันทางอารมณ์แล้ว นักจิตวิทยายังพบว่า บางคนสามารถเปลี่ยนสภาพการขัดแย้งทางจิตใจ ให้ออกมาเป็นอาการทางร่างกายได้อีกต่างหาก
ดังกรณีของ สมสวาท เธอไม่ใคร่ถูกกับหัวหน้างานของเธอเท่าไร ในช่วงที่เธอต้องทำงานใกล้ชิดกับเขา เธอจะมีอาการปวดศีรษะ (ไมเกรน) เป็นประจำ แต่เมื่อเธออยู่ห่างจากหัวหน้า อาการของเธอก็จะทุเลาลง เป็นต้น คนที่อยู่ใกล้ชิดกันไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ลูก หรือสามีภรรยา ยิ่งจะมีอาการของ "โรคติดต่อทางอารมณ์" ที่สังเกตเห็นได้ง่าย เช่น ถ้าสามีกลับบ้านและมีอารมณ์ที่ซึมเศร้าไม่พูดไม่จา และมีปัญหากับที่ทำงาน รับรองภายในไม่กี่ชั่วโมง ภรรยาก็จะได้รับอานิสงส์ของความหงุดหงิดนี้ไม่ต่างจากสามี บางทีอาจจะยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำไป ถ้าเธอเป็นคนคิดมาก เธออาจจะนอนไม่หลับ มีปัญหาต่อเนื่องไปอีกหลายอย่างก็ได้

ทำไมคนเราจึงมีการ "ติดต่อทางอารมณ์" กันได้ง่ายนัก
จริงๆ แล้ว ถ้าเราถามคนร้อยทั้งร้อย ไม่มีใครอยากติดโรคนี้ แต่ทำไมเราจึงติดได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน คำตอบก็คือ มนุษย์เราโดยเฉพาะผู้หญิง มักเป็นเพศที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึก และอารมณ์มากเป็นพิเศษ ใครมาแสดงออกในอารมณ์ใดที่ใกล้ตัวเรา เราก็มักจะรับเข้ามา เป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์เราได้ง่าย ทั้งอารมณ์ดีและอารมณ์ร้าย ดังนั้นถ้าให้เราปิดกั้น ไม่ให้รับอารมณ์ร้ายของผู้อื่นเข้ามาในระบบของเราโดยอัตโนมัติ อารมณ์ดีก็จะถูกปิดกั้นด้วยเช่นกัน เราก็จะกลายเป็นคนที่อาจจะถูกมองว่า "ใจดำ ใจแข็ง ขาดความรู้สึก" ไปได้ ลองคิดดูง่ายๆ ก็ได้ว่า ถ้าใครมาปรับทุกข์อะไรกับเรา แล้วเราไม่แสดงความรู้สึกนึกคิดหรือทีท่าเห็นอกเห็นใจเขาเลย เขาคงคิดว่า เราเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ไม่ใส่ใจเขาบ้าง กล่าวโดยสรุปก็คือ การแสดงความไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยนั้น ก็คงจะทำให้คนที่อยู่ด้วย เกิดความรู้สึกไม่ชอบใจเช่นกัน ดังนั้น ความพอดีในการแสดงออกเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่จะอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยา พ่อ แม่ ลูก หรือเพื่อนที่ทำงาน เป็นต้น นักจิตวิทยามีความเชื่อว่า คนเราทุกคนไม่ได้มีการรับ "โรคติดต่อทางอารมณ์" ในระดับเดียวกัน คนบางคนจะรับบางเรื่องง่ายกว่าเรื่องอื่น ตัวอย่างเช่น มลวิภา เธอเล่าว่าทุกครั้งที่เธอเห็นแม่เอ็ดลูก เธอจะกลับบ้านด้วยความรู้สึกหดหู่และเศร้าไปกับเด็กที่โดนแม่เอ็ดเสมอ เมื่อคุยกับเธอมากขึ้นก็ได้ความว่า การเห็นแม่เอ็ดลูกทำให้เธอนึกถึงความหลังครั้งที่เธอเป็นเด็กแล้วถูกแม่ดุเป็นประจำ เธอยังจำความเจ็บปวดนั้นได้ดี ความรู้สึกร่วมของมลวิภา อาจไม่ใช่ความรู้สึกร่วมของคนอื่นๆ ในระดับเดียวกันเลยก็ได้ ทั้งนี้เพราะเราทุกคนมีประสบการณ์ที่เป็นจุดอ่อนของชีวิตต่างกัน แต่สิ่งที่ต้องการย้ำให้เห็นก็คือ การติดต่อหรือระบาดทางอารมณ์ หลายครั้งมักมาจากอารมณ์ที่ยังคั่งค้างของบุคคลที่มีกับครอบครัวเดิมนั่นเอง

อารมณ์ใดเป็นอารมณ์ที่ติดต่อง่ายที่สุด
สำหรับผู้หญิง อารมณ์ที่มักจะพบบ่อยและติดต่อกันได้ง่ายที่สุดก็คือ อารมณ์ซึมเศร้า เซ็ง เบื่อหน่าย สมมุติว่าเพื่อนของคุณมาเอาคุณเป็นที่ระบายอารมณ์เศร้าของเธอสักชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง รับรองว่าหลังจากพูดกับเขาแล้วคุณมักจะรู้สึกเศร้าตามไปด้วยโดยอัตโนมัติ และถ้าเขาเผอิญเป็นเพื่อนที่ทำงาน เจอหน้าคุณครั้งใดก็จะเล่าแต่เรื่องชีวิตรันทดของเขาให้คุณฟังอยู่เสมอ คุณก็คงจะเซ็งไปกับเขาด้วยเป็นแน่ เผลอๆ ก็ไม่อยากเจอเขา หลบได้เป็นหลบ ไม่ใช่เพราะคุณไม่แคร์ แต่คุณเหนื่อยที่จะต้องมารับฟัง เรื่องของเขาที่คุณไม่สามารถทำอะไรได้ต่างหาก วิธีหนึ่งที่คุณอาจจะแก้ไขได้โดยไม่เสียเพื่อนไปก็คือ เวลาที่คุณฟังเรื่องของเขา อย่าพยายามเอาตัวคุณ เข้าไปใส่เป็นตัวละครในชีวิตของเขา ให้ฟังโดยมีใจเป็นกลาง ให้นึกภาพเป็นผู้สังเกตการณ์มากกว่าผู้แสดงเอง แต่นี้คุณก็สามารถเปิดใจรับฟังได้ ตัวอย่างเช่น หากเพื่อนมาเล่าถึงความเห็นแก่ตัวของเพื่อนร่วมงานของเธอ ที่มักจะใช้เธอทำธุระ เรื่องส่วนตัวให้เขา ทำให้เพื่อนของคุณไม่สบายใจแต่ไม่กล้าบอกปฏิเสธไป ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบมีอารมณ์ร่วมมากๆ คุณอาจจะหงุดหงิดแทนเธอหรือมากกว่าเธอเสียอีก ผลก็คือ คุณจะหงุดหงิดมากกว่าเพื่อนคุณถึง 2 เท่า แต่ถ้าคุณฟังไป และรับรู้อารมณ์ว่าเพื่อนของคุณไม่สบายใจ แต่เขาก็ยังไม่มีความกล้าที่จะปฏิเสธผู้อื่นได้ คุณก็คงไม่หงุดหงิดร่วมไปกับเพื่อนของคุณอย่างแน่นอน เมื่อใครก็ตามมาเล่าเรื่องอะไรของเขาให้คุณฟัง ก่อนที่จะรับเข้ามาหงุดหงิด โกรธ หรือเสียใจไปกับเขา ให้ถามตัวเองเสมอว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาของใคร ถ้าไม่ใช่เรื่องใช่ราวของคุณเลย ก็ให้ฟังเฉยๆ อย่าเข้าไปมีบทบาท เป็นผู้ร่วมแสดงกับเขาด้วย
ถ้าเผอิญคุณมีเพื่อนที่ชอบเอาคุณเป็นที่ปรึกษาหัวใจ หรือปัญหาอื่นใดก็ตามให้รับฟังเฉยๆ อย่าไปแสดงออกเป็นนักจิตวิทยาโดยการแนะนำนั่นนี่เป็นอันขาด เพราะบ่อยครั้งเราพบว่า คนเราต้องการความเห็นใจมากกว่าคำแนะนำ และเขาไม่เชื่อแล้วไปให้คำแนะนำเข้า คุณจะพบว่า เขาก็ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของคุณเลย ไม่ว่าคุณจะบอกเขากี่ครั้งกี่หนก็ตาม และคุณก็จะเสียอารมณ์ หงุดหงิดเปล่าๆ ทางออกประการหนึ่งของการช่วยเหลือเพื่อนที่มีทุกข์ หลังจากรับฟังเรื่องที่คล้ายกับทศนิยม ไม่รู้จบของเขาก็คือ ชักชวนให้เขาทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น ไปเดินเล่น ช็อปปิ้ง เล่นกีฬา หรือแม้กระทั่งไปทำบุญเข้าวัดเข้าวา จิตใจจะได้สบาย แต่การทำกิจกรรมนั้น ควรเป็นกิจกรรมที่เพื่อนชอบหรือทำได้ อย่าชวนเขาไปเพราะเป็นสิ่งที่คุณชอบ

คุณทราบหรือไม่ว่า การเปลี่ยนแปลงของคนเรานั้นทำได้ 3 ทางคือ
ทางความคิด ทางความรู้สึก และทางพฤติกรรม การเปลี่ยนทางหนึ่ง จะกระทบทางอื่นๆ เสมอ เช่น ถ้าเพื่อนของคุณมีความรู้สึกเศร้าหดหู่ใจ หรือเซ็งกับชีวิต เขาอาจจะมีพฤติกรรม ที่นั่งสงสารตัวเองอยู่กับบ้าน หรือคิดฟุ้งซ่านอยากทำร้ายตัวเอง เป็นต้น
แม้ว่าคุณจะทำให้เพื่อนของคุณคลายจากความรู้สึกเบื่อหน่าย เจ็บปวด เศร้าก็ตาม แต่การให้เขาออกไปข้างนอกมีกิจกรรมต่างๆ ก็เท่ากับคุณพยายามช่วยให้พฤติกรรมของเขาเปลี่ยน และเมื่อพฤติกรรมของคนเราเปลี่ยน เช่น เขายอมไปเที่ยวเล่นกับคุณ การออกไปเจอสิ่งใหม่ๆ ย่อมทำให้เขาหลุดออกมาจากอารมณ์เศร้าที่เขากำลังเผชิญอยู่ไม่มากก็น้อย แต่สมมุติว่า คุณได้พยายามทุกวิถีทางแล้ว เพื่อนของคุณก็ไม่ยอมทำอะไรตามคำชักชวนของคุณสักอย่าง คุณก็ไม่ต้องรู้สึกผิดว่า คุณช่วยเขาไม่ได้ ให้บอกตัวเองว่า คุณได้พยายามทำทุกวิถีทางแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ดังนั้น จึงไม่ใช่ความผิดพลาดของคุณอีกต่อไป เพื่อนของคุณได้ตัดสินใจที่จะไม่ยอมรับความช่วยเหลือ และเขาก็ไม่ช่วยตัวเขาเอง ส่วนคุณก็หมดหน้าที่แล้ว อย่าให้การตัดสินใจของเพื่อนมาทำให้คุณรู้สึกไม่ดี กับตัวเองเป็นอันขาด และอย่าให้ปัญหาของเพื่อนมารบกวนจิตใจของคุณ พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าพยายามแบกความทุกข์ของคนอื่นไว้ในตัวคุณ เพราะลำพังแค่ความทุกข์ของตัวเราก็แย่มากพออยู่แล้ว ถ้าคุณเป็นคนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวง่าย คล้ายต้นไมยราบที่พอโดนลมพัดสักนิดก็หวั่นไหวเสียแล้ว คุณก็ยิ่งต้องระวังเมื่อไปเข้าใกล้คนที่มีอารมณ์ที่จะติดต่อคุณได้ง่าย เพราะคุณจะรับเข้ามาโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้ คนประเภทนี้ทางจิตวิทยากล่าวว่าเป็นผู้ที่มีขอบเขตหรือตัวตน (BOUNDARY) ไม่ชัดจน คือไม่รู้ว่า เรื่องใดเป็นเรื่องของเรา และเรื่องใดเป็นทุกข์ของชาวบ้าน กล่าวง่ายๆ คือ เป็นพวกที่แยกแยะ ความเป็นตัวตนไม่ออก ฟังเรื่องของใครก็เก็บมาทุกข์ร้อนได้อย่างหมดจด บางทีเป็นทุกข์ "แทน" เจ้าทุกข์ตัวจริงเสียอีก มีลักษณะคล้ายเด็กๆ ที่ยังแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือเราคือเขา อะไรคือสิ่งแวดล้อม BOUNDARY ของเขาจะปะปนกันไปหมด เด็กเล็กๆ ที่เกิดมาทุกคนมีสภาพที่ยังไม่รู้ขัดว่า ตัวตนของเขาคือใคร เมื่อเขาเห็นแม่ในสายตาเขา จะรู้ว่าแม่อยู่ แต่เมื่อแม่เดินออกไปจากห้อง เขาคิดว่าแม่ของเขาไม่มีตัวตนอยู่เสียแล้ว แต่เด็กๆ ทุกคนเมื่อเขาค่อยๆ โตขึ้น เขาจะรับรู้ว่า เขาคือบุคคลอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่พ่อ พี่ หรือน้องของเขา เขาเริ่มมีความรู้สึกของตัวตนที่ชัดเจนมากขึ้น แต่สำหรับเด็กบางคน เขาจะถูกแม่หรือพ่อสอนให้ปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง เช่น ถ้าเขาบอกแม่ว่าไม่ชอบคุณป้าที่มาล้อเขาเสมอๆ แม่ก็จะบอกว่าเขาไม่ชอบไม่ได้เพราะแท้จริงแล้ว ป้ารักเขา เขาจะถูกสอนให้เริ่มปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก และเมื่อเติบใหญ่เขาจะกลายเป็นบุคคล ที่ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร และข้อสำคัญคือเขาจะไม่ไว้ใจความรู้สึกของตัวเองเลย คนประเภทนี้ เมื่อได้ฟังเรื่องอะไรของใคร เขาอาจจะบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร เขาอาจจะเอาความรู้สึก ของคนเล่าเรื่องมาเป็นเกณฑ์ความรู้สึกของตัวเองก็ได้ ถ้าคุณเผอิญเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใคร่รู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกอย่างไร ทางออกประการหนึ่งก็คือ เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ใครก็ตามเล่าให้คุณฟัง ให้ถามตัวเองเสมอว่า "ฉันรู้สึกอย่างไรในเรื่องนี้" ถ้าคุณหัดถามตัวเองบ่อยๆ ในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณ คุณจะเริ่มรู้จักกับตัวเองและความรู้สึกที่แท้จริง ของตัวคุณมากขึ้น และเมื่อคุณรู้จักความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ความรู้สึกที่เกิดกับใจ ไม่ใช่ความรู้สึกที่คุณควรจะรู้สึก แล้วขั้นต่อไปก็คือ ให้คุณหัดที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกแท้จริงของคุณให้ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่คุณไม่เคยได้ทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของคุณเลย การรู้จักตัวเอง ความรู้สึกที่แท้จริง และการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น อย่างยิ่งกับตัวคุณเอง และข้อสำคัญคุณจะได้ไม่ต้องไปผูกความรู้สึกของคุณไว้กับบุคคลอื่นอีกต่อไป
การติดต่อทางอารมณ์ เป็นสิ่งที่คนเราทุกคนควรจะต้องระวังเพราะมันมีทั้งผลดีผลเสีย ถ้าเป็นอารมณ์ที่เป็นพิษ และคุณรู้ตัวว่า คุณติดต่อกับอารมณ์เหล่านี้ได้ง่าย คุณก็คงจะต้องระวัง เมื่อคุณเข้าไปใกล้ผู้ที่มีอารมณ์เป็นพิษ เพราะคุณจะรับเชื้อเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว หรือถ้าคุณรู้ว่า เป็นคนค่อนข้างจะอ่อนไหวง่าย คุณคงจะต้องสร้างภูมิต้านทานให้ตัวเองให้ดีขึ้น
แต่ถ้าเป็นอารมณ์ในด้านบวก อารมณ์ที่ดีงาม เช่น ความสุข ความสบายใจ คุณอาจจะยินยอมให้ตัวเอง "ติด" และยอมเป็น "พาหะ" นำสิ่งที่สร้างสรรค์เหล่านี้ให้แพร่กระจายออกไปให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นหัวหน้าครอบครัว หัวหน้างาน ครูอาจารย์ อาจจะทำให้มากขึ้นเพราะใครเล่าจะรู้ว่า คำพูดให้กำลังใจ ความสุขหรือเสียงหัวเราะของคุณ อาจทำให้ชีวิตของคนบางคนเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิดก็เป็นได้

แรงดึงดูดของผู้ชาย 10 ประการ

(1) ความมั่นใจในตัวเอง
จริงอยู่ถ้าหน้าตาหล่อเหลา ความมั่นใจในตัว เองย่อมเพิ่มมากเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่หล่อละ จะมั่นใจกับเขาไม่ได้เชียว หรือ ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า คุณก็ดูดี มีความมั่น ใจในตัวเองสูง ทำได้ทุกอย่างที่คนอื่นทำกัน และต้องพิสูจน์ว่าคุณทำ ได้จริงๆไม่ใช่ดีแต่ปาก พอเอาเข้าจริงกับไม่ได้เรื่อง การสร้างความมั่นใจ ในตัวเองมีหลายอย่าง เช่นหมั่นหาความรู้เสริมพิเศษให้ตัวเอง หัดยิ้มกับ ตัวเองในกระจก ทำอะไรหลายๆอย่างให้สำเร็จได้จริงๆเป็นรูปเป็นร่าง
(2) แรงดึงดูดทางเพศ
ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Sex Appeal ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความหล่อหรอกนะ มีผู้ชายเยอะแยะที่หน้าตาหล่อ แต่ไม่มีแรงดึงดูดที่ว่านี้เลยมีถมไป แรงดึงดูดทางเพศไม่ได้หมายถึงคุณเป็นคนลามก แต่หมายความว่าคุณเป็นคนสง่างาม จนคนรู้สึกว่าหาก อยู่ใกล้คุณคงเร้าร้อนทนไม่ไหว อะไรทำนองเนี่ย หรือที่วัยรุ่นเรียกว่าพวก ไม่หล่อแต่เร้าใจ
(3) ควรมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
คือแม้ว่าคุณจะดูไม่ดีตราบที่คุณอยาก มีคู่ควงเป็นหญิงสาวสวยแล้วละก็ คุณต้องสร้างเอกลักษณ์ของคุณมาให้ โดดเด่นจงได้ อาจจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้า อาจจะเป็นเรื่องของน้ำหอม หรืออาจเป็นเรื่องของการเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ที่ใครเขา ได้ยินเสียงหัวเราะจะนึกถึงคุณขึ้นมาทันที ทำอย่างไรที่จะยกระดับให้ตัว เองดูมีเอกลักษณะเฉพาะตัว แม้ว่าคุณจะใบหน้าตี๋ก็ตาม เอานาตี๋หล่อก็มีเยอะแยะไป
(4) ต้องมีความเป็นแมน
ความเป็นแมนนี่ดูเหมือนง่าย แต่พอทำจริงๆ มันยากเหลือเกิน ก่อนอื่นความเป็นแมนไม่ได้หมายความว่า คุณต้อง มีขนที่หน้าอกที่ดูเซ็กซี่ ไม่ได้หมายความว่าคุณมีกล้ามเป็นมัดๆ แต่ความ เป็นแมนหมายถึง คุณต้องมีนิสัยเป็นผู้ชาย ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิง ไม่ใช่คนคิดจุกจิก น่าเบื่อ น่ารำคาญ พูดง่ายคือ มีความเป็นผู้นำ อยู่มากในตัวคุณ ความเป็นแมนสร้างได้ไม่ยากนักหรอก เพียงแต่ต้องใช้เวลาและความ อดทนปรับปรุงตัวเองพูดจาเป็นผู้ใหญ่ พยายามสร้างขึ้นมาจากธรรมชาติ ที่อยู่ภายใน ถ้าเปรียบกับนักแสดง ก็เรียกว่าอินเข้าไปในบทละคร ทำนองนั้น
(5) พยายามดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย
ฟังดูเข้าที แต่พอทำ จริงๆก็ยากอีกนั่นแหละ ถ้าไม่พยายามหรือมองแต่ว่ามันมีความยาก เกินกำลังแต่แรกก็เลิกเหอะ ความจริงการทำชีวิตให้เรียบง่ายได้ คุณ จะดูเท่และเก๋มาก คุณสังเกตดูผู้คนรอบๆตัวคุณดูสิ ทุกวันนี้มีกี่ชีวิตที่ เรียบง่ายบ้าง พยายามกินให้ง่าย นอนก็ง่าย แล้วคุณจะดูดีขึ้นทันที ใครด่าหรือนินทาคุณ คุณก็เฉยๆ เสีย
(6) สลัดความเหงาให้เป็น
มีผู้ชายขี้เหงามากมายบนโลก ความเหงา ทำให้จิตใจระส่ำไม่เป็นปกติร้อนรน ลุกลี้ลุกลนบอกไม่ถูก ผู้ชายต้องเข้มแข็งรับได้ทุกสภาพ ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะโน้มนำไปในทางทุกข์หรือสุข ก็ตาม บางคนทุกข์ก็เสียใจ ฟูมฟาย ตีโพยตีพาย พอสุขก็ดีใจ กระโดดโลดเต้นจนเกินเหตุ ทำให้ระงับอารมณ์ไม่อยู่ คนรู้ไส้รู้พุงหมดว่าคุณกำลัง เป็นอะไร มีบุคลิกที่แท้จริงเป็นแบบไหน จะต้องรู้จักการปล่อยวาง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทีละเปลาะ
(7) เป็นคนรักงาน
ไม่ใช่บ้างาน คือทำงานเป็นระเบียบและมีระบบ ในการวางแผนจัดการงานที่ดี สะสางงานไปทีละชิ้น มีแผนการณ์ล่วงหน้า รวมทั้งสนุกกับการทำงานอย่างแท้จริง ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ หมายความ ว่าคุณต้องแบ่งเวลาเป็น เวลางานเป็นเวลางาน ไม่เล่นหยอกล้อ นอกเวลางานก็อย่าคิดในเรื่องงานอีก
(8) ต้องสร้างชีวิตให้โรแมนติก
ชีวิตที่โรแมนติกไม่ได้หมายความว่า มีแต่ดอกกุหลาบและคำหวานตลอดเวลา เพราะของพวกนี้ถ้ามีให้กัน มากๆ ดูเหมือนกลายเป็นเสแสร้งไปทันที ผู้หญิงมักจะเคลิบเคลิ้ม ปลาบปลื้มกับคำถามที่ผู้ชายแสดงความห่วงใยเสมอ อาการโรแมนติก ไม่ใช่การนั่งอยู่หน้าแสงเทียน ทำตาหวานซึ้งเข้าหากัน แค่นึกถึงเธออย่าง จริงใจ น้ำเสียง แววตา และการกระทำต่างหากที่จะเป็นปัจจัยบอกว่าคุณ เป็นคนโรแมนติกหรือไม่
(9) การสร้างอารมณ์ทางเพศในบางขณะ
จะช่วยให้ผู้หญิงมองคุณเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่ได้หมายความว่า คุณต้องไปข่มขืนเธอ หรือขืนใจ หรือลวนลามเธอ อย่าไปทำอย่านั้นเด็ดขาด เพราะหล่อนจะขาด ความนับถือศรัทธาในตัวคุณทันที คุณต้องใช้สายตา วาจา และการแตะ กายเบาๆ โลมเล้าเธอแค่มองก็รู้สึกสะท้าน ไม่ต้องประกบริมฝีปาก แบบเมาท์ทูเมาท์หรอก
(10) คุณต้องสามารถสร้างอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาได้โดยธรรมชาติ
ธรรมชาติผู้หญิงทุกคนจะมีความอ่อนไหวระทวยระทดง่ายกว่าผู้ชาย ด้วยเหตุ แห่งสรีระ หรือ จิตใจก็แล้วแต่ แต่ถ้าคุณอยากมีเสน่ห์มัดหัวใจเจ้าหล่อน ละก็ ต้องจับอารมณ์ของเธอให้อยู่ เพราะอารมณ์ของเธอเปรียบกราฟ ตรีโกณมิติ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสลับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา คุณ พยายามอ่านใจเธอให้ออก ซึ่งเท่ากับว่าคุณได้กำชัยชนะไว้ในมือแล้ว .....หมายความว่าคุณต้องมีความไวในอารมณ์ร่วมเร็วกว่าเจ้าหล่อน ถ้าจะให้ดีต้องทำเป็นแนบเนียน และไม่ให้เธอรู้ตัวว่าคุณถือไพ่เหนือกว่า

เรียนรู้ชายเข้าใจหญิง

สัมพันธภาพระหว่างชายหญิงนั้น แท้จริงแล้วควรจะเป็นเรื่องที่สวยงามและนำมาซึ่งความสุขสมของสัมผัสแห่งความรักที่ก่อเกิดขึ้นในดวงใจของคนทั้งสอง แต่ใช่ว่าสัมพันธภาพดังกล่าวจะดำเนินไปอย่างราบรื่นเหมือนดังที่หวงและตั้งใจเอาไว้
...หลายๆ ครั้ง สาวน้อยต่างแอบร้องไห้คนเดียว เมื่อเขาร้างราจากไป และสาวใหญ่ต้องถอนหายใจเงียบๆคนเดียว ก่อนจะเดินออกไปเผชิญความจริงที่ว่า...เมื่อเขาเป็นอื่น
ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น ?? ...เป็นคำถามที่คาใจเสมอๆ และเป็นมาในทุกยุคทุกสมัย
ทำอย่างไรชีวิตคู่จึงจะยืนยาวและเป็นสุขเหมือนใจฝัน... จึงยังคงเป็นคำถามอันดับหนึ่ง ในใจของผู้หญิงทุกคนมาตลอด ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด
คำตอบ... คงจะไม่มี นอกจากบอกว่า การเลือกคู่ชีวิตนั้น ยากกว่าการเลือกคู่นอนมากมายนัก คุณอาจจะหาคู่นอนได้ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แต่ถ้าจะหาคู่ชีวิตให้ได้สักคนแล้ว ช่างยากเย็นกระไรเช่นนั้น และใครที่เคยมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้ คงจะมีคำตอบที่ดีแก่ตัวเองได้
หลายคนเขียนจดหมายมาถามหรือโทรศัพท์มาถามว่า ทำไมหมอ ผู้ชายจึงเปลี่ยนแปลงไป หลังจากอยู่ด้วยกันแล้ว ทำไมไม่เหมือนเดิม คำตอบก็คือ มีอะไรบ้างในโลกนี้ที่จีรังยั่งยืน นอกจากความตาย ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ใจของคนก็เช่นกัน วันนั้นยังรักกันอยู่ แต่วันนี้อาจจะไม่แล้ว และบางครั้งก็ยากที่จะบอกว่า ชายหรือหญิงเปลี่ยนไปก่อน
อีกหลายคนบอกว่า ถ้าจะมีชีวิตคู่ให้มีความสุข ก่อนจะอยู่กินกันควรจะเบิกตาให้กว้าง และหลังจากใช้ชีวิตคู่แล้ว พยายามปิดตาเสียบ้าง
พูดง่ายๆ ก็คือ ก่อนจะตกลงปลงใจกับใครสักคนหนึ่ง พยายามเบิกตาให้กว้างไว้ มองให้ดี ตรองให้ดี อย่าทำให้เหมือนที่เขาว่า "ความรักทำให้ตาบอด" การจะใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนหนึ่งนั้น ต้องอาศัย "รักแท้" แม้ว่ารักแรกพบอาจจะกลายเป็นรักแท้ในภายหลังได้ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ รักแท้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เกิดจากรักแรกพบ รักแท้ส่วนใหญ่ จึงเป็นความจริง แต่รักแรกพบส่วนใหญ่ เป็นสิ่งลวงตา คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ความจริงย่อมเป็นความจริงวันยังค่ำ!!
อยากจะเตือนคุณผู้หญิงว่า อย่าให้ความรักที่คุณมีต่อเขามาทำให้คุณตาบอดมืดมัว จนยอมเป็นของเขาก่อนเวลาอันสมควร ด้วยความคิดที่ว่า เขาน่าจะเป็นคนรับผิดชอบ เพราะรับรองได้เลยว่า บทพิศวาสที่คุณให้กับเขา หรือเขาปรนเปรอจนคุณหลงไหลได้ปลื้มไปกับเขาด้วยนั้น ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่า สัมพันธภาพของคุณกับเขาจะยาวนานตลอดไป และเมื่อความรักจืดจางไป พร้อมกับเวลาที่คุณกับเขาต้องจากกัน คุณจะรู้ว่าจริง!
มาตรฐานสองชั้น ในสังคมตะวันออกของเราก็ยังคงมีปัญหากับคุณผู้หญิงเสมอ เพราะรับรองได้เลยว่า โอกาสที่คุณจะเจอผู้ชายที่พร้อมจะรักคุณ เข้าใจคุณ และใช้ชีวิตคู่กับคุณอย่างสุขสมโดยบอกคุณว่า... แม้เธอผ่านชายร้อยชายฉันก็ยังรักเธอ คงจะเป็นภาพลวงตามากกว่าความเป็นจริง
ในคำพูดที่เขาบอกคุณว่า ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณนั้น สิ่งที่อยู่ในใจของเขาก็คือ เมื่อไรคุณจึงจะยอมเป็นของผม เพราะเขาต้องการสัมพันธ์ภาพทางกายด้วย ต้องขอแก้แทนผู้ชายบ้างเหมือนกัน ในกรณีนี้ว่า ไม่ใช่ว่าการที่ผู้ชายคิดจะมีความสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งกับผู้หญิง เป็นเรื่องที่ไม่ดีงาม แท้ที่จริงแล้ว เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติการเจริญพันธุ์ที่ทำให้ผู้ชายคิดแบบนั้น
การที่ผู้ชายคิดอยากจะมีเซ็กซ์กับผู้หญิง จึงเป็นเรื่องของธรรมชาติ!! และการที่ผู้หญิงมีเซ็กซ์กับผู้ชาย ก็เป็นไปตามที่ธรรมชาติเรียกร้องเช่นกัน ผู้หญิงเกิดมาเพื่อต้องการความรัก แสวงหาความรักความอบอุ่นจากใครสักคนหนึ่ง และเมื่อคิดว่า พบคนๆนั้นแล้ว เธอก็ยอมที่จะมีสัมพันธ์สวาทกับเขา เพื่อที่จะให้เขารักเธอตลอดไป ทั้งๆ ที่ ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น
ผู้หญิง จึงยอมมีเซ็กซ์เพื่อที่จะแลกกับความรัก ในขณะที่ผู้ชายขายความรักเพื่อที่จะมีเซ็กซ์??? คุณว่า ประโยคดังกล่าวนั้น เป็นความจริงหรือสิ่งลวงตา หลายคนคงจะพบกับคำตอบแล้วว่า...เป็นอะไร แต่ขอเรียนให้ทราบเลยว่า... เมื่อถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจ ระหว่างบทพิศวาทที่ซาบซึ้งกับผู้หญิงคนใดคนหนึ่ง กับเรื่องราวอื่นที่สำคัญกว่า โดยเฉพาะหน้าที่การงาน หรือสถานภาพทางสังคมแล้ว ผู้หญิงจะเป็นผู้ได้รับเลือก... เลือกที่จะถูกคัดออกไปจากชีวิตของเขา
นี่แหละครับชีวิต... บางครั้งมันก็โหดร้ายเกินไปกว่าจะเขียนให้อ่านกัน แต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงวันยังค่ำ ไม่ได้เขียนให้คุณเกลียด ไม่ชอบ หรือไม่รักผู้ชาย เพียงแต่อยากให้ทราบว่า ความเป็นจริงของชีวิตคืออะไร และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ การสำรวจทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์ของชายชาตรีเมื่อปีที่ผ่านไปหมาดๆ นั้น ยังได้ผลตรงกันเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ชายกังวลสนใจมากที่สุดมาในทุกยุคทุกสมัยและไม่เคยเปลี่ยนใจเลยก็คือ ...ทำอย่างไร ผมจึงจะทราบว่า ผู้หญิงที่ผมจะมีสัมพันธ์ด้วย ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับใครมาก่อน นั่น ก็เป็นความจริงที่ไม่ใช่ภาพลวงตาเช่นกัน
คุณคงอยากถามว่า แล้วตอนนั้น มาบอกรักทำไมล่ะ ก็ตอนนั้นเขาก็รักคุณจริงๆ นี่นา ไม่ได้หลอกลวงคุณให้ไหลหลงเสียหน่อย แต่ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าความรักเมื่อเกิดขึ้นได้ ก็ย่อมดับลงได้ และเมื่อความรักดับลงไปแล้ว แต่ละคนก็คงจะต้องไปตามทางของตัวเอง อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ และแล้วการเสียความบริสุทธิ์ ดังกล่าวก็เกิดขึ้นตามมาตรฐานสองชั้น!! เมื่อไรผู้หญิง จึงจะรู้จักปฏิเสธการมีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่ไม่เป็นของคุณเป็นคนแรกบ้าง!! อดข้าวดอกนะเจ้าจะวางวาย ไม่ตายเพราะอดเสน่หาหรอก และถ้าคุณคิดว่าในยุคนี้ ถ้าจะหาชายแบบนั้นได้ยากแล้วละก็ อยู่อย่างเป็นคนโสดที่มีความสุข มีเพื่อนฝูงมากๆ ดีกว่า เหมือนคำกลอนที่ว่า ...แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า...
แต่ถ้าคุณเลือก ผู้ชายที่แสนดีคนหนึ่งมาเป็นคู่ชีวิตของคุณได้แล้ว ขอบอกคุณๆ เหมือนที่เคยสอนลูกสาวของผมเสมอๆ ว่า ในยุคนี้สมัยนี้หาผู้ชายที่ดีๆ และแท้ๆ สักคนได้ยากเข้าไปทุกวันแล้ว ถ้าแม้นหลุดเข้ามาในชีวิตแล้วละก็ ทำอย่างไรก็ได้ อย่าให้หลุดมือไปเลย แต่อย่าไปแย่งของคนอื่นเขา... เท่านั้นเอง
คุณต้องพยายามรักวันเติมวัน... เพราะผู้ชายของคุณขี้เหงาและมักจะขาดรักโดยไม่รู้ตัว รักเขา ให้กำลังใจเขา และยืนเคียงข้างผู้ชายของคุณในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเลวร้ายขนาดไหน เพราะเขาเป็นคนที่คุณเลือก THE SURRENDER WIFE จึงเป็นหนังสือที่คุณต้องอ่าน ถ้าคุณมีสามีที่แสนดีสักคน แต่ถ้าเขาคนนั้น ไม่ได้เป็นเหมือนที่คุณหวังและตั้งใจ รวมทั้งอาจนำมาให้ชีวิตคุณเลวร้ายลงไปกว่าเดิมแล้วละก็ คุณเท่านั้น...ที่จะเป็นคนตัดสินใจว่า ควรจะทำอย่างไรให้คนที่คุณสมควรให้ความรักมากที่สุด เพราะคนคนนั้นก็คือ...คุณนั่นเอง
ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า การครองรักครองเรือนย่อมประกอบด้วย ผู้ชาย ผู้หญิง และพยานรัก การแสวงหาความรักความผูกพันระหว่างคนสองคนที่มาอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตคู่กันนั้น หลายต่อหลายคน จึงแสวงหา...ลูกน้อย ไว้เป็นโซ่ทองคล้องชีวิตคู่ อยากจะบอกว่า ลูก นั่นแหละ ที่ทำให้ผู้หญิงเกิดความรู้สึกที่เป็นแม่ และลูกนั่นแหละ ที่ทำให้ผู้ชายที่มีคุณสมบัติจะเป็นพ่อ กลายเป็นคนนุ่มนวลโอบอ้อมอารี ด้วยความไร้เดียงสาที่ลูกๆ มีต่อพ่อ
การจะมีชีวิตคู่นั้น ลูกจึงเป็นคนที่จะเชื่อมสัมพันธ์ภาพระหว่างชายผู้เป็นพ่อ และหญิงผู้เป็นแม่เสมอ จึงควรที่จะเลี้ยงลูกด้วยความรัก ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว เลี้ยงดูให้ลูกๆ ทุกคน เห็นความรักที่สวยงามของพ่อแม่ ตั้งแต่พวกเขายังเล็กๆ เพื่อที่เขาจะได้เติบใหญ่ไปเป็น ผู้ชายที่แสนดี และผู้หญิงที่แสนจะน่ารัก และมีคู่ครองที่น่ารัก...ต่อไป

รักแท้...ไม่แพ้ใกล้ชิด

คนที่มีความรักแท้เท่านั้นที่จะเข้าใจว่า ความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร... แต่รักแท้ ไม่ใช่หาได้ง่าย บางคนแสวงหาความรักแท้จนเข้าวัยชราจึงจะพบก็มี หลายคนเมื่อย่างเข้าวัย 30 แล้ว ยังคงอยู่เป็นโสดก็เริ่มสงสัยว่า ในชีวิตของเราจะพบกับความรักไหมหนอ จะได้อยู่ครองคู่กับคนรักไหม ทำไมจึงยังไม่มีใครมารักเรา บางครั้งเขารักกับใครไปจนทั่ว แต่หา "เธอ" คนนั้นไม่พบ เขาคิดเข้าข้างตัวเองว่า "อกหักดีกว่ารักไม่เป็น" และเขาก็อกหักอยู่เป็นประจำ เพราะเธอทอดทิ้งเขาไป หาหนุ่มคนใหม่ที่อาจจะมีเสน่ห์กว่า เอาใจมากกว่า และแน่นอน อาจจะร่ำรวยกว่า จนมีคำเขียนท้ายรถว่า "รักแท้แพ้เงินตรา" และ "เงินจางนางจร" แต่ไม่จริงหรอกครับ ที่ผู้หญิงจะคิดถึงเงินตรามากกว่าความรัก แม้ว่าในยุคนี้เป็นยุคแห่งวัตถุนิยม ทุกคนแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเพื่อร่ำรวย เพื่ออำนาจวาสนา เพื่อชื่อเสียง ในท้ายที่สุดแล้วถ้าเธอจะเลือก เธอจะเลือก "ความรัก" ขอแต่คุณทำให้เธอแน่ใจเท่านั้นละครับว่า คุณรักเธอจริง ผู้หญิงเกือบทุกคนมีสัญชาตญาณที่จะรับรู้ว่า "เขา" คนนั้น รักเธอจริงหรือไม่?? และเมื่อเธอทราบว่า เขารักเธอ เธอจะเลือกที่ยืนเคียงข้างเขา เธอสามารถที่จะสละความสุขสบายส่วนตัวเพื่อเขาได้ รวมทั้งในยามที่คับขัน เธออาจที่จะเสียสละชีวิตของเธอเพื่อปกป้องเขาผู้เป็นที่รัก อ่านแล้วอาจจะเหมือนนิยายในฝัน จริงครับ ยากนักที่จะหาในยุคสมัยนี้ แต่ถ้าคุณอดทนรอคอยและแสวงหา...วันหนึ่งคุณจะพบ โลกเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่หลีกหนีธรรมชาติไปมากจนเกือบจะถึงที่สุดแล้ว ไม่ช้าไม่นาน ลูกตุ้มแห่งกาลเวลาก็จะย้อนกลับ และนำเอาความรักที่ดีงามตามธรรมชาติกลับคืนมา เธอก็หาเขาอยู่! เธอมีความรักก็หลายครั้ง เธอผิดหวัง เธอเสียใจ เธอแอบร้องไห้คนเดียว โดยไม่หวังจะให้ใครมาเห็นใจหรือปลอบใจ แต่เธอก็มีกำลังใจที่จะสู้โลกและชีวิตนี้ต่อไป... เพราะพรหมลิขิตบอกให้เธอรอที่จะพบเขา
"พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ... เออชะรอยคงเป็นเนื้อคู่ เคยอุ้มชูเลี้ยงดูบำเรอ แต่ครั้งแรกเมื่อพบเธอ ใจฉันเชื่อเมื่อแรกเจอ ฉันและเธอคือคู่สร้างมา"
เพลง "พรหมลิขิต" ขับร้องและทำนองโดยครูเอื้อ สุนทรสนาน ปราชญ์และบรมครูแห่งวงสุนทราภรณ์ เพลงนี้เป็นที่กินใจของหนุ่มสาวในยุคหนึ่งเป็นยิ่งนัก เพราะคิดกันว่า การที่คนสองคนจะต้องมามีสัมพันธภาพกันนั้น เป็นลิขิตของฟ้า เคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิต และบุพเพสันนิวาสบ้างไหม... ในบทเพลง 'บุพเพสันนิวาส' นั้น ครูเอื้อขับร้องได้ไพเราะเพราะพริ้งว่า
"รักไม่มีพรมแดน รักไม่มีศาสนา แม้นใครบุญญาได้ครองกันมา พรหมลิขิตพาชื่นใจ"
รักเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ ความรักเช่นนั้นให้โทษ อย่าไปโกรธโทษรักไม่ได้"
ความรักของหนุ่มสาวในทุกยุคทุกสมัย มักจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันด่วน เรียกว่า เจอหน้าก็ปิ๊งเลย และบางครั้งก็กลายเป็นรักชั่วข้ามคืน ที่เมื่อเสร็จสมอารมณ์รักแล้ว ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เหมือนคนแปลกหน้าสองคนที่มาพบกัน แล้วแยกจากกันไป คุณเชื่อในความรักไหม คุณเชื่อไหม...ว่าอำนาจของความรักมีจริง อานุภาพแห่งความรักแท้นั้น เหลือที่จะกล่าวอ้างถึงได้ เพราะในความรักแท้นั้น คุณอยากให้เขาได้ดีมีสุข อยากให้เธอเจริญก้าวหน้ามีอนาคตที่มั่นคงสดใส ปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ ที่จะมากรายใกล้ และจะคอยเฝ้าห่วงและดูแลเธอจนกว่าความตายจะมาแยกเธอไปจากเขา คนที่มีความรักแท้จะมีความสุข คนที่มีความรักแท้จะมั่นใจในความรัก เขาคนนั้นอยู่ที่ไหน... รักแท้เป็นฉันใด เธออยากที่จะรู้ ถ้าคุณเป็นเขาคนนั้น... วันหนึ่งคุณก็พบเธอ คุณรู้ทันทีว่า เธอคนนี้แหละที่รอคอยพบกับคุณอยู่ เธอเป็นคู่ของคุณ คู่ที่อาจจะตามมาพบจากชาติภพหนึ่งมายังอีกชาติภพหนึ่ง ถ้าคุณเชื่อว่า คนเรานั้นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร คุณคงเชื่อว่าในแต่ละชาติภพหนึ่งนั้น คุณจะมีเนื้อคู่อยู่...คู่แท้ในชาติภพนั้น บางครั้งบางครา คู่รักในแต่ละชาติภพจะตามมาพบกับคุณในชาติภพปัจจุบัน!! แบบนี้เส้นลายมือที่เรียกว่า เส้นแห่งความรัก หรือบางคนเรียกว่า เส้นแต่งงานซึ่งอยู่ที่ด้านข้างมือ ใต้นิ้วก้อยคงจะมีมากกว่า 1 เส้น บางเส้นก็จบลงด้วยการแต่งงาน บางเส้นก็จบลงด้วยการแยกทางจากกันไปก่อนวันวิวาห์ บางเส้นอยู่ด้วยกันแบบใช้ชีวิตคู่สักระยะก็ต้องแยกกันไป เพื่อที่จะพบกับคู่อีกคนหนึ่ง นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า คนแรกไม่ใช่คู่แท้ หรืออาจจะเป็นแค่คู่กรรม เมื่อกรรมหมดแล้วก็ต้องแยกจากกันไป รอเวลาที่จะพบกับคู่บุญ...คู่ชีวิต เธอกับเขาที่คิดตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ก็คงจะตอบว่า ไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้
แต่เธอกับเขาที่ได้รับปรากฏการณ์ตรงเหล่านั้น โดยหาคำอธิบายอย่างมีเหตุมีผลไม่ได้ก็อาจจะเชื่อว่า บุพเพสันนิวาส และพรหมลิขิตมีจริง บางคนสมหวังในความรัก บางคนผิดหวังในความรัก ไม่ว่าคุณจะสมหวังหรือผิดหวังในความรัก ก็ขออย่าให้หมดหวังในความรัก... เพราะความรักเท่านั้น ที่เป็นสิ่งค้ำจุนทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้

0 รักแท้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่จืดจางหายไปจากใจของเขาและเธอ
0 รักแท้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เธอกับเขาจะคิดถึงกันตลอดไปและสม่ำเสมอ
0 รักแท้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้เธอและเขามีความสุขปราศจากความระแวงในคนรัก
0 รักแท้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้เธอและเขามองโลกในแง่ดี มีกำลังใจที่จะประกอบกิจการต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้
0 รักแท้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่มีความเกลียด แม้จะโกรธกันบ้างตามวิสัยปุถุชน แต่ก็จะให้อภัยกันและระงับการโกรธได้อย่างรวดเร็ว

จะหารักแท้ได้นั้น ต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ รักแรกพบอาจจะเปลี่ยนเป็นความรักแท้ได้ แต่รักแท้นั้น ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่รักแรกพบ รักแท้เกิดจากการฟูมฟักรดน้ำพรวนดิน ต้นไม้แห่งรักให้เจริญเติบโตงอกงามผลิดอกออกผลให้เจ้าของต้นรักได้ภาคภูมิใจ เธอกับเขา เมื่อเกิดรักแท้แล้ว จะเข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้อภัยกันเสมอเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำอะไรผิดพลาดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และตั้งใจที่จะไม่กระทำผิดต่อเธอและเขาผู้เป็นที่รักอีก คนที่มีรักแท้และเข้าใจกันเท่านั้นที่จะพบความสุขของการใช้ชีวิตคู่ ไม่ว่าจะอยู่รวมกันในบ้านเดียวกัน หรือแยกกันอยู่เพราะหน้าที่การงานหรือเหตุผลส่วนตัวอื่นๆ เธอกับเขา ในความเป็นจริงแล้ว แตกต่างทั้งในทางความคิดความอ่าน รวมทั้งการแสดงออกต่างๆ
จอห์นเกรย์ เขียนหนังสือพอคเก็ตบุ๊คขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เรื่อง 'Woman Are From Venus Men Are From Mars' ก็เพราะความแตกต่างของเธอกับเขา เธอเป็นเทพธิดาผู้อ่อนหวานและน่ารักจากดาวพระศุกร์ เขาเป็นเทพบุตรนักรบผู้ห้าวหาญจากดาวอังคาร
เธอมีความเข้มแข็งซ่อนอยู่ภายใต้ความอ่อนแอที่แสดงออกทางภายนอก เขามีความอ่อนแออยู่ลึกๆ ภายใน ภายใต้สีหน้า แววตา และร่างกายที่บึกบึนของเขา เธอและเขาต่างก็มีจุดอ่อน และจุดแข็งอยู่ในตนเอง ถ้าเธอและเขารักกันเข้าใจกันแล้ว ทั้งเธอและเขาจะสามารถช่วยปิดบังจุดอ่อนของอีกฝ่ายไว้ได้ และจะช่วยกันเสริมสร้างจุดแข็งของแต่ละฝ่ายให้แสดงออกมา ...แบบนี้ รักแท้ ไม่มีทางแพ้ใกล้ชิด!!

รักตัวเองไม่เป็น

กิจกรรมนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต คือ การไปนั่งรับโทรศัพท์การบริจาคเงินเพื่อการกุศลทางรายการทีวีช่องหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้ นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต
ผมต้องเตือนตัวเองว่าจะต้องพูดกับคนที่โทรมาให้ดีๆ ชัดๆ เพราะเขามีจิตใจดี อยากบริจาคเงินเพื่อการกุศล จะมากหรือน้อยก็ไม่เป็นไร
มีสตรีคนหนึ่งโทรมาจากต่างจังหวัดขอบริจาค 100 บาท เธอถามด้วยเสียงที่แสดงความเกรงใจว่า บริจาค 100 บาทได้ไหม? ผมรีบตอบว่า ได้ครับ บริจาคมากหรือน้อยก็ได้บุญเท่ากัน ผมเข้าใจในความพร้อมหรือความมีของแต่ละคนซึ่งไม่เท่ากัน แต่ความตั้งใจดีและการลงมือทำสิ่งดีนั้นเป็นเรื่องของบุญ ซึ่งผมมั่นใจว่าได้บุญทั้งนั้น
โดยเฉพาะคนที่ฐานะไม่ดี ถ้าบริจาค 100 บาท เขาจะต้องคิดหรืออาจจะเดือดร้อนในวันต่อๆ ไปก็ได้ น่าจะได้บุญมากกว่าคนมีเงินพันล้านแล้วบริจาค 1 ล้านบาทด้วยซ้ำไป เพราะเขาจะไม่เดือดร้อนจากการบริจาคของเขาแน่ๆ
สตรีผู้นั้นโทรมาสักพักหนึ่งแล้วก็โทรกลับมาอีก เพราะครั้งแรกมัวเกรงใจ เธอจดที่จะส่งเงินมาให้ไม่ทันจึงโทรมาถามใหม่ ผมคิดว่าค่าโทรศัพท์วันนั้นอาจจะเฉียด 100 บางด้วยซ้ำ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องของกุศลกรรมซ้ำซ้อนที่มีแต่ดีกับดีมากขึ้นครับ
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ได้ยินเสียงของคนหลายๆ คนที่โทรมาเพื่อการ "ให้" เสียงเหล่านั้นฟังดูอบอุ่น มั่นใจ เป็นมิตร เป็นสุข มีหลายคนที่เคยรู้จักผมแต่ไม่ได้พบกันนาน บางรายไม่ทราบเบอร์โทรของผมได้โทรมาคุยหรือโทรมาบริจาคด้วย เพราะไม่เคยเห็นออกทีวีแบบนี้มาก่อน ก็น่ารักไปอีกแบบ วันนั้นกลับบ้านดึกแต่ก็อิ่มใจครับ
คนที่นึกถึงคนอื่น และนึกถึงการช่วยคนอื่นหรือช่วยสังคม จะทำให้นึกถึงตัวเองน้อยลง และนึกถึงการจับผิดตัวเองน้อยลง ทำให้เป็นทุกข์น้อยลง และมีความสุขมากขึ้นครับ
ผมได้พบผู้ทุกข์ที่มาปรึกษาด้วยความทุกข์ทางใจมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่
1. นึกถึงแต่ตัวเองในแง่ไม่ดี
2. ลืมนึกถึงสิ่งดีๆ ในตัวเอง
3. ลืมนึกถึงคนอื่นที่อยู่ร่วมโลกในแง่ดี
4. มักจะระแวงคนอื่นหรือคิดว่าเขาคงจะมองหรือนึกถึงเขาเหล่านั้นในแง่ไม่ดี
5. ลืมการทำกิจกรรมที่ดีๆ ในชีวิต เช่น การให้สิ่งดีๆ กับตัวเองและให้สิ่งที่ดีๆ กับคนอื่น การให้นั้นไม่ได้หมายถึงเงินทองหรือสิ่งของเสมอไปหรอก แต่อาจจะเป็นความรู้สึกที่ดีๆ คำพูดดีๆ การให้กำลังใจ ให้คำชื่นชมยกย่องตนเองและคนอื่น เป็นต้น
6. ความคิดซ้ำๆ ในเรื่องที่ไม่ดีของตัวเอง ทำให้เกิดความทุกข์ บางรายถึงกับเครียดจัด มีอาการต่างๆ จนถึงขั้นทำกิจกรรมตามปกติไม่ได้
7. ความคิดซ้ำๆ ที่ไม่ดีเหล่านี้เลิกคิดไม่ได้ แม้จะรู้ว่าไม่ดีและอยากเลิก เป็นลักษณะของ Impulsivity ยกตัวอย่างเช่น สตรีบางคนมีฐานะ การงาน การเงินดี การศึกษาดี มีความรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำหนักมาก หรือคิดว่าอ้วน (ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ได้อ้วน) เธอก็คิดซ้ำๆ ว่าไม่อยากอ้วน เวลากินอะไรเข้าไปก็จะเอานิ้วมือล้วงคอ ทำให้อาหารขย้อนออกมาทุกครั้ง จนต่อๆ มาเมื่อกินอะไรเข้าไปแม้มิได้เอานิ้วล้วงคอ อาหารก็จะขย้อนออกมาโดยอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายขาดอาหาร ขาดน้ำ ผอมแห้ง ทำกิจวัตรประจำวันลำบาก แต่ก็ยังคิดและมีลักษณะดังกล่าวตลอดเวลา
หรือบางคนที่คิดถึงแต่ปมด้อยของตนเอง (ปมด้อยคือ ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองด้อย โดยที่คนอื่นไม่รู้หรือรู้สึกว่าไม่สำคัญอะไรนัก) ซึ่งมักเป็นความรู้สึกในอดีต ที่เคยผิดหวังหรือรู้สึกเจ็บปวด เช่น ถูกเปรียบเทียบ ถูกทำร้ายทางกายหรือทางจิตใจ ถูกหลอกลวง ถูกทิ้ง ถูกล้อ หรือได้รับความไม่ยุติธรรมจากสังคม เขาก็จะวนเวียนคิดถึงสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอ ทำให้หมดความสุขและมองตัวเองไม่ดี
แม้ปากจะบอกว่ารักตัวเอง อยากให้ตัวเองได้ดีมีความสุข แต่จิตใจในระดับจิตใต้สำนึกยังตำหนิตัวเอง ด่าว่าตัวเองเสมอเหมือนคอยเอาหอกดาบมาทิ่มแทงตัวเองให้เจ็บปวดเสมอ แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร
ผมเรียกโรคของความทุกข์แบบนี้ว่าเป็น "โรครักตัวเองไม่เป็น" ซึ่งมีความคิดดัง 7 ข้อที่กล่าวมาแล้ว บุคคลเหล่านี้มักจะมีลักษณะทั่วไปคือ
1. มีความเป็นเด็กอยู่มาก ไม่บรรลุนิติภาวะทางอารมณ์และจิตใจ (Immaturity)
2. มองโลกในแง่ร้าย (Pessimist)
3. ย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive)
4. มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิด (Guity) ตลอดเวลา
5. รู้สึกพอใจกับความเจ็บปวดของตัวเองในระดับจิตใต้สำนึก (Masochistic-Subconsciously)
6. ชอบปฏิเสธสิ่งดีหรือความเป็นจริง (Denial)
7. มักมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิตที่เชื่อมโยงกับพฤติกรรมนั้น ทำให้รู้สึกเจ็บปวด และเก็บสะสมไว้ในระดับจิตใต้สำนึก เป็นเรื่องของบาดแผลชีวิตที่บอกใครไม่ได้ หรือมองข้ามไปแล้วโดยคิดว่าไม่สำคัญ แต่ความจริงเขายังเก็บไว้ในระดับจิตใต้สำนึกอยู่
พฤติกรรมของ "โรครักตัวเองไม่เป็น" นี้ น่าจะรวมถึงนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า ที่ร่ำรวยอยู่แล้วแต่ยังโกง คอรัปชั่น หักหลัง เพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยปากก็บอกว่ารักชาติ รักตัวเอง แต่ผลของการกระทำนั้นทำให้ชาติล่มจม และตนเองก็ถูกด่าประณามต่างๆ ก็ทนเจ็บปวดเอา และความเจ็บปวดนั้นจะกระทบกระทั่งมาถึงครอบครัวด้วย แต่เขายังเลิกไม่ได้แม้จะเจ็บหรือทุกข์ก็ตาม แต่ก็มีพวกที่โกงหรือคอรัปชั่นแล้วไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย กลับรู้สึกสบายดี หรือหลงใหลในเกียรติยศจอมปลอม และยังทำต่อไปได้เรื่อยๆ พวกนี้เขาเรียกว่า พวกหน้าด้าน หรือพวกอันธพาลต่อต้านสังคม (Antisocial) พวกนี้จะขาดคุณธรรม ทำให้ไม่รู้สึกผิด ไม่รู้สึกเจ็บอาย แม้จะเอาไปลงโทษหรือยิงเป้าให้ตายก็ไม่รู้สึกหรอก และไม่หายด้วย ซึ่งพวกหน้าด้านนี้จะพบได้มากกว่าพวกที่เจ็บปวดจากการไม่รักตัวเอง
ผู้ที่เป็นโรค "รักตัวเองไม่เป็น" นี้ เป็นพวกที่น่าสงสารมาก บางคนทุกข์เจียนตาย เล่าให้ใครฟังก็มักไม่ได้รับความเห็นใจ มีแต่คนหมั่นไส้หรือสมน้ำหน้า เพราะเขาไม่เข้าใจ
นับวันเราจะพบผู้คนที่เป็นโรคนี้มากขึ้น บางคนแม้จะไม่ทุกข์มาก มีบุคลิกภาพของคนที่รักตัวเองไม่เป็น เช่น แม้เขาจะเก่ง รวย สวย แต่ก็ยังมีบุคลิกภาพที่แสดงถึงความรักตัวเองไม่เป็น เช่น
1. อิจฉาริษยาคนอื่น
2. ชอบใส่ความคนอื่น
3. จับผิดคนอื่น
4. ตำหนิติเตียนคนอื่น
5. ตัดสินคนอื่นโดยใช้ตัวเองเป็นหลัก
6. ระแวงสงสัยบ่อยๆ
7. เหงา ว้าเหว่
8. ก้าวร้าว
เนื่องจากความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ยังรักตัวเองตามความเป็นจริงไม่ได้ จึงต้องพยายามยกตัวเองให้สูงไว้ และกดคนอื่นให้ต่ำลงหรือมีความผิด เขาหาความสุขไม่ได้หรอก เคร่งเครียด สร้างศัตรูตลอด

คนที่จะมีความสุขได้และนับเป็นคนปกติได้นั้นคือคนที่
1. ภาคภูมิใจและเชื่อมั่นตัวเองตามความเป็นจริงในขณะนั้น แม้ขาด้วน สอบตก ค้าขายขาดทุน ไม่สวย ไม่หล่อ ก็ยังภาคภูมิใจและเชื่อมั่นตัวเองได้ตามความเป็นจริง ส่วนวิธีการจะภาคภูมิใจตัวเอง ตามความเป็นจริงนั้น ต้องมีการฝึกใหม่ (ผมเคยเขียนไปบ้างแล้ว) และยกเลิกความคิดแบบเก่า ที่ต้องรอให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจึงภาคภูมิใจเสียให้หมด
2. รู้จักถ่อมตัวและให้ความสำคัญคนอื่นได้ จะเกิดความเป็นมิตรและความรักได้ง่าย
3. รักตัวเองเป็น-รักคนอื่นได้
4. ช่วยตัวเองได้มากขึ้น ช่วยคนอื่นให้มากขึ้น โดยเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ทำให้มีพลังที่จะทำความดี โดยการช่วยตัวเองมากขึ้น และช่วยคนอื่นมากขึ้น เพื่อหวังว่าชีวิตจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ขึ้นตั้งแต่บัดนี้จนตายจากไป ส่วนที่จะได้ดีจริงไหมก็ไม่สำคัญ เพราะใจอยากทำสิ่งดีแล้ว เขาจะสนใจตัวเองน้อยลง สนใจการทำความดีมากขึ้น จะมีคนชอบมากขึ้น และเขาจะชอบตัวเองได้มากขึ้น อนาคตก็น่าจะไม่ลำบากหรอก
คนที่โทรมาบริจาคเงินการกุศลนั้น ก็ถือได้ว่ารู้จักรักตัวเองเป็น ไม่คิดถึงตัวเองในแง่ไม่ดี พร้อมจะช่วยตัวเองและช่วยคนอื่น ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยก็ตาม
โรครักตัวเองไม่เป็นนี้ถ้าเป็นน้อยๆ ก็พอจะปรับปรุงตัวเองได้ และถ้าเป็นมากๆ ก็คงต้องหาผู้รู้มาช่วยแนะนำรักษาแล้วล่ะครับ แต่ส่วนใหญ่คนมักจะไม่ปรึกษาผู้รู้ คนไทยมักจะอายในเรื่องที่ไม่ควรอาย ก็คงต้องทุกข์ไปอีกนาน ซึ่งคงเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ค่านิยม และวิบากกรรมแล้วละครับ